ธปท.ชี้เงินเฟ้อ-ศก.โลกชะลอ และสงคราม เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ว่า ปัจจุบันพบว่า เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง โดยในการประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงและมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ
.
1.อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง โดยทั้งโลกคาดว่าจะอยู่ที่ 8.8% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลาย 10 ปี
.
2.ภาพเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ชะลอตัวลงชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดย IMF ประมาณการว่า 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจต่างๆในโลกจะเข้าสู่ภาวะหดตัว และมีโอกาสถึง 25% ที่เศรษฐกิจโลกจะโตประมาณ 2% หรือต่ำกว่า ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำมาก
.
3.ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน จีน-สหรัฐ สร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกและการดำเนินนโยบายการเงินต่อไป
.
ด้านการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารนั้น สิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังดำเนินการคือ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างเร็วและมีขนาดที่เยอะ ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี โดยเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา รวมถึงไทย
.
นอกจากนี้ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ทั้งจากธนาคารกลางที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความเปราะบางและความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินของระบบการเงินโลก ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณของความอ่อนไหวในตลาดหลายตลาด รวมทั้งตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เช่น พันธบัตรของอังกฤษ สภาพคล่องในตลาดพันธบัตรของสหรัฐที่อยู่ในระดับไม่ปกติ เป็นความเสี่ยงที่ธนาคารกลางต้องพยายามดูแลให้เศรษฐกิจผ่านช่วงความเสี่ยงไปได้
.
ในแง่ของนโยบายสิ่งที่จำเป็นคือ ธนาคารกลางควรมองผ่านความไม่แน่นอนและแรงกระแทกในระยะสั้น โดยมองภาพระยะปานกลางและพยายามไม่เพิ่มความไม่แน่นอนจากนโยบายเข้าไปเสริมความไม่แน่นอนที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันแนวการดำเนินนโยบายจะต้องยืดหยุ่นและปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงในกรณีของนโยบายการเงินแต่ละประเทศจะต้องให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละประเทศด้วย
.
“แม้เงินเฟ้อทั่วโลกจะสูงขึ้น แต่ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะในแง่ของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เช่น ไทยเอง สิ่งที่สำคัญคือ นโยบายการเงินมุ่งที่จะให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ไปเสริมหรือ สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเงินเฟ้อ ซึ่งจะแตกต่างจากบางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐ ที่ต้องการฉุดเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงเพื่อดึงเงินเฟ้อลง คือความแตกต่างที่ชัดเจน เพราะเราต้องการดูแลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องและไม่ไปเสริมแรงกดดันเงินเฟ้อ และไม่ต้องการฉุดเศรษฐกิจให้ชะลอลง”นายปิติ กล่าว
.
นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินเฟ้อของไทยที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่เป็นด้านอุปทานไม่ใช่ด้านอุปสงค์ และนอกจากระดับเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ถึงก่อนระดับก่อนโควิด-19 และยังห่างไกลระดับศักยภาพ จึงเป็นเหตุผลที่การดำเนินนโยบายต้องถอนคันเร่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
.
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไทยในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจีดีพีของไทยจะขยายตัวได้ 3.3% และปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.8% โดยมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ดีขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 9.5 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 21 ล้านคนในปี 66
.
ขณะที่การส่งออกปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 8.2% และปรับลดลงเหลือ 1.1% ในปี 66 จากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ด้านการนำเข้าปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 16.8% จากการนำเข้าทองคำและน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้น ด้านปี 66 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.8%
.
ทั้งนี้ ธปท. ยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มกลับเข้าสู่ระดับก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาส 4/65 หรือช่วงต้นปี 66 เป็นต้นไป โดยแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ และการบริโภคมีความชัดเจนมากขึ้น
.
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะทยอยลดลงในไตรมาส 4/65 โดยปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 6.3% ส่วนปีหน้าอยู่ที่ 2.6% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน ปีนี้คาด 2.6% และปีหน้า 2.4%
***********************************