‘บินไทย’ส่อขาดทุนปีนี้2.8หมื่นล.ลุ้นทางรอด“คลัง”นำเพิ่มทุน-ลดถือหุ้น
นักวิเคราะห์" ประเมินการบินไทยปีนี้ ขาดทุนกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ส่อแววต้องเพิ่มทุน ลุ้นกระทรวงการคลังยอมลดสัดส่วนถือหุ้น ปล่อยพ้นสภาพ "รัฐวิสาหกิจ" ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน
วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสายการบินทั่วโลกอย่างหนัก บางแห่งจำเป็นต้องหยุดบิน ปิดตัว และปรับแผนธุรกิจเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับสายการบินแห่งชาติของไทยอย่าง บมจ.การบินไทย (THAI) ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้บริษัทอยู่รอดในภาวะเช่นนี้
จากแผนที่บริษัทประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างรายได้เพื่อชดเชยรายได้การให้บริการที่หายไป พร้อมรักษากระแสเงินสดให้ยังสามารถหล่อเลี้ยงบริษัทต่อไปได้ หลังจากยกเลิกการบินในทุกเส้นทางชั่วคราวตั้งแต่ 1 เม.ย. - 31 พ.ค. และให้พนักงานหยุดงานตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. - 31 พ.ค. 2563
รายได้เสริมทางหนึ่งคือ การขนส่งสินค้าทางอากาศที่ยังพอทำได้อยู่บ้าง ขณะที่ธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยาน เป็นทางเลือกที่ THAI ให้ความสำคัญมากขึ้น แต่ประเด็นที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุด คือ แผนจะปรับโครงสร้างการถือหุ้นครั้งสำคัญ ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังที่ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ถือต่ำกว่า 50% จะทำให้ THAI พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจไปโดยปริยาย พร้อมมีข่าวว่าจะมีนักธุรกิจรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นเพิ่ม หนึ่งในรายชื่อที่ปรากฏในกระแสข่าวคือ "เจริญ สิริวัฒนภักดี"
กระแสข่าวดังกล่าว ทำให้นักลงทุนกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นการบินไทยอีกครั้ง จนราคาหุ้น THAI ปรับตัวขึ้นชนเพดานการซื้อขายระหว่างวันถึง 5 วันติดต่อกัน จาก 3.20 บาท เมื่อ 2 เม.ย. มาปิดที่ 6.35 บาท เมื่อ10 เม.ย. ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบ 98.43%
นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส มองว่า แนวโน้มผลประกอบการของ THAI ในปีนี้น่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา และด้วยฐานทุน ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทน่าจะต้องเพิ่มทุน และแน่นอนว่ากระทรวงการคลังที่ถือหุ้นอยู่ 51% น่าจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้ามาเช่นกัน ความคาดหวังที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือบริษัทจะปรับตัวให้เกิดความมั่นคงได้อย่างไร ซึ่งอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ผ่านมาคือ การบริหารงานของบริษัทซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจมีความล่าช้าและซ้ำซ้อนในกระบวนการ
“เชื่อว่าหนึ่งในแนวทางการแก้ปัญหาของการบินไทยคือจะทำอย่างไรเพื่อลดปัญหาการตัดสินใจที่ล่าช้าและซ้ำซ้อน โดยอาจจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่คงความเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป หรืออาจจะเป็นแนวทางอื่นที่ช่วยให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้เร็วและทันต่อเหตุการณ์”
ส่วนประเด็นของการที่อาจจะมีผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามาร่วมถือหุ้น โดยส่วนตัวตั้งข้อสังเกตไว้ว่า หากมีเงินลงทุนหนึ่งร้อยล้านบาท หรือหนึ่งแสนล้านบาท ควรจะเลือกลงทุนในธุรกิจใด และเหตุใดต้องนำเงินมาลงทุนกับธุรกิจสายการบินด้วย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าแนวโน้มของธุรกิจสายการบินทั่วโลกไม่ค่อยสดใสนัก
โดยภาพรวมคาดว่าการบินไทยในปีนี้จะขาดทุนราว 2.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่รายได้บริการอยู่ที่ 1.14 แสนล้านบาท ส่วนปี 2564 คาดว่าจะขาดทุนต่อเนื่องอีก 1.35 หมื่นล้านบาท จากรายได้บริการ 1.55 แสนล้านบาท ทั้งนี้มองว่าปัญหาอุปทานล้นตลาดของสายการบินจะยังคงมีต่อไป ทำให้การแข่งขันของอุตสาหกรรมยังคงรุนแรง แม้จะเพิ่งผ่านช่วงวิกฤติทำให้สายการบินหลายแห่งประสบปัญหา แต่รัฐบาลก็พยายามยื่นมือเข้ามาช่วยในหลายๆ ประเทศ
“สำหรับธุรกิจใหม่ๆ อย่างเรื่อง Cargo ดีมานด์จะวิ่งตามการค้าโลก ซึ่งปีนี้น่าจะติดลบหนัก จึงยังไม่ใช่ธุรกิจที่จะช่วยได้ในระยะสั้น แต่ระยะยาวก็อาจช่วยกระจายความเสี่ยงออกไป เพราะที่ผ่านมารายได้ของการบินไทยราว 1.7 - 1.8 แสนล้านบาท จาก 2 แสนล้านบาท มาจากเพียงการให้บริการการบิน”
สำหรับฐานะการเงินของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าย่ำแย่มาต่อเนื่อง และทำให้บริษัทมีผลขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นจากราว 1.95 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2558 มาเป็น 3.32 หมื่นล้านบาท ในปี 2561
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก