เปิดโผ 5 หุ้น SET 50 “พีอี” สุดต่ำ
พบ 3 บริษัทดัง! กำไรเติบโตต่อในปี 66

.
วันนี้ทีมข่าว Wealthy Thai ได้รวบรวมหุ้นที่มี P/E ต่ำสุดในกลุ่ม SET50 เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน โดย P/E เป็นอัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมของสาย VI ที่นำข้อมูลทางการเงินมาใช้วิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท ซึ่งคำนวณมาจากราคาตลาดของหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (Price/Earnings Per Share) กล่าวคือ การนำราคาหุ้นมาเทียบกับความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัท
.
ทั้งนี้ P/E สามารถประมาณจุดคุ้มทุนได้ แต่ถือเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับการเข้าลงทุนเท่านั้น เพราะบางกรณี หุ้น P/E สูงก็ยังน่าลงทุน เช่น หุ้น Growth Stock ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะมี P/E สูง แต่ก็ไม่ควรเกินระดับการเติบโตของกำไร อย่างไรก็ตาม บางครั้งหุ้นที่มี P/E ต่ำ ก็เกิดจากราคาที่ต่ำ และกำไรก็ไม่ได้เติบโต ดังนั้นแม้ P/E จะต่ำแค่ไหน ก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนเช่นกัน
.
สำหรับหุ้นที่มี P/E ต่ำสุด 5 อันดับแรกในกลุ่ม SET50 คือ BANPU, TOP, IVL, KTB, PTTEP (ข้อมูล ณ 3 มี.ค.66) ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะมีทิศทางการเติบโตแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบแล้ว
.
BANPU ถ่านหินคงแข็งแกร่ง
BANPU บล. ดาโอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท โดยมองแนวโน้มธุรกิจถ่านหินยังคงแข็งแกร่งแม้อาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในครึ่งหลังปี 65 โดยปี 66 บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มปริมาณการผลิตถ่านหินเพื่อที่จะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงกว่าอดีตอยู่
.
ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ลงเล็กน้อย 2% เป็น 2.29 หมื่นล้านบาท ลดลง 44% จากปีก่อน เพื่อสะท้อน gas ASP และต้นทุนถ่านหินที่สูงกว่าเดิม หลักๆจากค่าภาคหลวง (royalty fee) ที่ยังคงสูงอยู่ ในขณะเดียวกันประเมินว่ากำไรสุทธิปี 67 จะสูงขึ้น 9% เป็น 2.50 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าต้นทุนการผลิตถ่านหินจะลดลงในอัตราที่เร็วกว่าการปรับสู่ระดับปกติของราคาถ่านหิน
.
TOP กลับสู่ภาวะปกติ
TOP บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานปี 2566 อยู่ที่ 72.00 บาท คาดผลการดำเนินงานปี 2566 กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น โดยคาดว่าธุรกิจโรงกลั่นจะได้แรงหนุนจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในภูมิภาค และทั่วโลกที่ค่อนข้างมากในช่วงครึ่งแรกปี 66 ประกอบกับการกลับมาเปิดประเทศของจีนที่ช่วยหนุนอุปสงค์ของทั้งน้ำมัน และปิโตรเคมี
.
ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 12,415 ล้านบาท ลดลง 62% จากปีก่อน ภายใต้สมมติฐาน GRM อยู่ที่ 7.5 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือว่ายังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจาก 1.การเปิดประเทศของจีนหนุนความต้องการใช้เชื้อเพลิงในการเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานที่ปัจจุบันอุปสงค์ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2562
.
2.ปริมาณสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปกลุ่ม Middle distillate ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ 3. ปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของรัสเซียที่คาดว่าจะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากการยกเลิกการนำเข้าน้ำมันของ EU และในปี 2566 จะมีกำลังการผลิตใหม่ของโรงกลั่นเพิ่มขึ้นราว 1.6 MBD เนื่องจากการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจาก COVID ในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งคาดว่ากำลังการลลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจไม่ได้กดดัน GRM อย่างมีนัย เนื่องจากคาดว่าจะสามารถชดเชยได้ด้วยอุปสงค์ที่ฟื้นตัวมากขึ้น
.
ประกอบกับช่วง ม.ค.-พ.ค. 2566 เป็นช่วงที่โรงกลั่นในภูมิภาค และทั่วโลกปิดซ่อมบำรุงค่อนข้างมาก ทำให้คาดว่าตลาดน้ำมันสำเร็จรูปยังคงมีความตึงตัว และในส่วนของธุรกิจอะโรมาติกแม้การกลับมาเปิดประเทศของจีนจะช่วยหนุนอุปสงค์ได้บางส่วน
.
แต่คาดว่าส่วนต่างราคา PX และ BZ ในปี 2566 ยังคงถูกกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาค่อนข้างมาก และในส่วนของโพลิเมอร์คาดว่าส่วนต่างราคาของ HDPE และ PP มี downside ที่จำกัด เนื่องจากระดับส่วนต่างราคาปัจจุบันของ HDPE-Naphtha และ PP- Naphtha อยู่ในระดับที่ใกล้กับจุดต่ำสุดในช่วงปี 2555 และการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่ในปี 2566 มีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง และหนุนด้วยอุปสงค์ที่คาดว่าจะมากขึ้นทั้ง HDPE และ PP
.
IVL กำไรปีนี้ยังโตเด่น
IVL บล.บัวหลวง จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 66 บาท อย่างไรก็ตามปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลง 12% มาอยู่ที่ 41,099 ล้านบาท แต่เติบโต 32.55% จากปีก่อน เพื่อสะท้อนการปรับลดสมมติฐานส่วนต่างราคา PET ลง 14% มาอยู่ที่ 310 เหรียญสหรัฐ/ตัน
.
ทั้งนี้คาดว่ากำไรหลักของ IVL ในไตรมาส 1/66 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถูกกดดันโดยส่วนต่างราคาบางผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง เช่น ส่วนต่างราคา PET ตลาดจร [ทางเอเชียและฝั่งตะวันตก] และส่วนต่างราคา MEG (สหรัฐอเมริกา)
.
อย่างไรก็ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและส่วนต่างราคา PET ตามสัญญา (ทางฝั่งตะวันตก) และส่วนต่างราคา MTBE ที่สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการอ่อนตัว จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ของกำไรหลักได้บางส่วน
.
แต่กำไรหลักของบริษัทคาดว่าจะขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยปริมาณขายที่สูงขึ้น, ส่วนต่างราคา PET
.
ตลาดจรที่ขยายตัวขึ้น (ทางเอเชียและฝั่งตะวันตก), ส่วนต่างราคา PET ตามสัญญาที่สูงขึ้น (ทางฝั่งตะวันตก), และต้นทุนพลังงานที่ลดลง ปกติแล้วไตรมาสแรกของปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับอุปสงค์ PET ดังนั้นส่วนต่างราคา PET มีแนวโน้มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
.
KTB กำไรโตเด่น
KTB บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มอง KTB แม้มีความน่าสนใจจากพัฒนาการใหม่ ๆ บนช่องทาง Digital Platform และเป็นธนาคารใหญ่ที่พอร์ตสินเชื่อมีความแข็งแรง ทั้งในแง่กลุ่มลูกค้าความเสี่ยงต่ำ และระดับ Coverage Ratio ที่สูงกว่าในอดีต คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานเดิมปี 2566 ที่ 21 บาท
.
ขณะที่การตั้งสำรองคาดปรับขึ้นเล็กน้อย จากความเสี่ยงของพอร์ตที่สูงขึ้นหลังเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อผลตอบแทนสูง หนุนให้คาด KTB จะมีกำไรสุทธิในปี 2566 จำนวน 36,446 ล้านบาท เติบโต 8.2%จากปีก่อน ปัจจัยหนุนหลักจาก 1.การขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อโครงการภาครัฐฯ ที่จะได้รับการกระตุ้นในช่วงครึ่งหลังปี 65 หลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
.
ประกอบกับสินเชื่อรายย่อยที่มีแนวโน้มโตดี หลังบริษัทหันมาขยายตลาดสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงมากขึ้น เช่นสินเชื่อส่วนบุคคลของลูกหนี้ในกลุ่มราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงทา ตลาดในกลุ่มลูกค้าทั่วไป ด้วยการพัฒนาช่องทาง Digital Platform ให้เข้าถึงง่ายขึ้น เน้นการเชื่อมโยงกับ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่เป็น E-Wallet ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าสู่ Krungthai Next ที่เป็น Platform หลักของ KTB
.
PTTEP ไตรมาส 1 ฟื้น
PTTEP บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2566 คาดผลการดำเนินงานหลักลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป ตามทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติที่เริ่มต่ำลงตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่เป็นรอบปรับสัญญาราคาขาย ท่ามกลางต้นทุนการผลิตเร่งขึ้น แนะนำ “TRADING” (เดิม “ขาย”) คงราคาเหมาะสม 176.00 บาท/หุ้น
.
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายพิเศษลดลง, ราคาก๊าซ ยังอยู่ระดับสูง, ต้นทุนต่อหน่วยอยู่ระดับต่ำ ตามปัจจัยฤดูกาล คงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 22%จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิคาดที่ 72,453 ล้านบาท โต 2.18% จากปีก่อน
.
ทั้งนี้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล (เทียบกับ 96 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 2565) ประเมิน Sensitivity ราคาน้ำมัน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จะมีผลต่อกำไร 830 ล้านบาท ราคาเหมาะสม 2.2 บาท