ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 ปัจจัยเสี่ยงตลาดหุ้นโลกปี 2566

โดย GREEN WAY
เผยแพร่ :
160 views

 

หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญภาวะตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีในปี 2565 และตลาดพันธบัตรเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้งซึ่งส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่นักลงทุนบางกลุ่มมองว่าสถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะดีขึ้นในปี 2566 โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการที่จีนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง รวมทั้งข้อพิพาทในยุโรปเริ่มบรรเทาลง

.

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยง และอาจทำให้ตลาดเผชิญกับความผันผวนอีกครั้งในปี 2566

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ส่งสัญญาณเตือน 5 ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกในปี 2566 ดังนี้

.

1. วิกฤตเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ

.

แมทธิว แมคเลนแนน นักวิเคราะห์จากบริษัทเฟิร์ส อีเกิล อินเวสต์เมนท์ แมเนจเมนท์ กล่าวว่า นักลงทุนในตลาดพันธบัตรกำลังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่นั่นอาจเป็นมุมมองที่ผิด เพราะความเสี่ยงที่แท้จริงคือค่าจ้างที่พุ่งสูงขึ้นและแรงกดดันในฝั่งอุปทาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งให้ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้นและทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวขึ้นด้วย

.

2. ตลาดหุ้นจีนทรุดตัว

.

ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นราว 35% จากระดับต่ำสุดในเดือนต.ค. เนื่องจากความหวังที่ว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากใช้มาตรการล็อกดาวน์มาเป็นเวลานานแต่ขณะนี้ความหวังดังกล่าวได้ถูกบดบังด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักในจีนอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของจีนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตราย และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดตัวลง โดยรายงานระบุว่าโรงพยาบาลในจีนล้นไปด้วยผู้ป่วยและมีการจองคิวจัดงานศพจำนวนมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

.

“กราฟที่แสดงตัวเลขการติดเชื้อในจีนจะพุ่งขึ้นอีก และจะพุ่งถึงจุดสูงสุดใน 1 หรือ 2 เดือนหลังเทศกาลตรุษจีน เราคาดว่าจีนจะประสบความสำเร็จในการเปิดประเทศ แต่ผลที่ตามมาคือการแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19” มาร์เซลลา โชว์ นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชสกล่าว

.

3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน

.

จอห์น เวล นักวิเคราะห์จากบริษัทนิกโก แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า หากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเลวร้ายลง และหากองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ยื่นมือเข้ามาเป็นปรปักษ์โดยตรงกับรัสเซียและใช้มาตรการคว่ำบาตรในระดับที่รุนแรงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบในด้านลบตามมาอย่างแน่นอน

.

4. ตลาดเกิดใหม่ชะลอตัว

.

นักลงทุนจำนวนมากคาดการณ์ว่าดอลลาร์จะชะลอการแข็งค่าในปี 2566 และต้นทุนพลังงานจะปรับตัวลง ซึ่งสองปัจจัยนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันในตลาดเกิดใหม่ แต่หากทั่วโลกประสบความล้มเหลวในการควบคุมเงินเฟ้อก็จะส่งผลให้ปัจจัยบวกทั้งสองนี้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่ความตึงเครียดของสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้นอีกครั้ง

.

เชน โอลิเวอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอเอ็มพี เซอร์วิสเซสกล่าวว่า “เราคงไม่สามารถก้าวผ่านปี 2566 ไปได้อย่างสวยงามหากตลาดเกิดใหม่ย่ำแย่ เรามองว่ายังคงมีความเป็นไปได้สูงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากหลายประเทศในกลุ่มนี้มีหนี้สินในรูปสกุลเงินดอลลาร์”

“ผลกระทบจากวิกฤตการณ์นี้จะสร้างความเสียหายอย่างฉับพลันให้กับรัฐบาลในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากต้องแบกรับภาระหนี้สินในรูปดอลลาร์มากขึ้น” โอลิเวอร์กล่าว

.

5. โควิดระบาดไม่จบ

.

หากโรคโควิด-19 มีการแพร่ระบาดรุนแรงขึ้นหรือมีการกลายพันธุ์ของไวรัสมากขึ้น หรือแม้สายพันธุ์ปัจจุบันที่ยังคงระบาดต่อเนื่อง ก็จะยิ่งเพิ่มปัญหาให้กับห่วงโซ่อุปทาน และสิ่งที่จะตามมาคือการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง

.

“เราเชื่อว่า เศรษฐกิจมหภาคในประเทศขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ต้องพึ่งพาการค้า ขณะนี้เรามีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มตลาด ในขณะที่นักลงทุนต่างก็คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอย” มาร์เซลลา โชว์ นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชสกล่าว

 

 


GREEN WAY