เปิดยุทธศาสตร์ 6 แบงก์รัฐ ปี 66 เดินหน้าสู่ความยั่งยืน กับ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK
เปิดยุทธศาสตร์แบงก์รัฐปี 66 เดินหน้าสู่ความยั่งยืนพร้อม พัฒนาดิจิทัล ควบคู่การตอบสนองนโยบายภาครัฐ ออมสินเดินหน้าสร้าง Social Impact ธอส.คงวิสัยทัศน์เป็นธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับการมีบ้าน ธ.ก.ส. มุ่งเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน EXIM BANK พร้อมขับเคลื่อนค้าการลงทุนของไทย SME D Bank มุ่งมั่นเป็นธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ธอท. เดินหน้าพัฒนาองค์กร 4 ด้าน
EXIM BANK ชี้ดอกเบี้ยขาขึ้น
มีทั้งโอกาสและความท้าทาย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปี 2566 ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย (Recession) และประเทศต่างๆ จำนวน 1 ใน 3 ของโลกอาจประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ ณ เดือนตุลาคม 2565 ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566 จะขยายตัวเพียง 2.7% ต่ำสุดในรอบ 21 ปี โดยไม่นับรวมปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ขณะที่มุมมองต่อเศรษฐกิจโลกอยู่ในทิศทางที่แย่ลงกว่าคาดการณ์เดิม หรือที่เรียกว่า Downside Risk ลงเรื่อยๆ ล่าสุดธนาคารโลก (World Bank) ก็ได้มีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกเหลือขยายตัวเพียง 1.7% โดยในส่วนของจีน แม้เพิ่งประกาศผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid แต่เศรษฐกิจจีนก็มีแนวโน้มขยายตัวต่ำสุดในรอบ 30 ปี
นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังถูกบั่นทอนจากเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องอีกสักระยะ จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ ทำให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีการทยอยปรับขึ้นเป็นลำดับ เช่นเดียวกับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มผันผวนตามกระแสเงินทุนไหลเข้าออกที่ยากจะคาดการณ์
โดยปัจจัยแวดล้อมภายนอกประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุมดังกล่าว ส่งผลให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ซึ่งมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ได้พยายามตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้นานถึง 6 เดือน ตั้งแต่ในช่วงเดือนสิงหาคม 2565 เพื่อมิให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในช่วงที่เศรษฐกิจยังเปราะบาง
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจ โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงต่ออีกระยะนั้น EXIM BANK พร้อมดูแลและสนับสนุนเงินกู้หมุนเวียนระยะสั้นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่สะดุด
ขณะเดียวกัน มีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (Product Programs) อย่างทันท่วงที เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการฝ่าฟันภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความไม่แน่นอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น EXIM Shield Financing เงินทุนหมุนเวียนหลังการส่งออกครบวงจร ที่ให้ทั้งเงินทุนและความคุ้มครองทางการค้า ในกรณีที่ผู้ส่งออกไม่ได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อในต่างประเทศ EXIM Biz Transformation Loan เงินกู้เพื่อการลงทุน ดอกเบี้ยต่ำสุด 2% เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและไลน์การผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตที่จะช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยสินค้าลดลง
รวมถึงบริการสินเชื่อแก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะกลางถึงยาวที่ให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ สำหรับการนำเข้าสินค้าและบริการจากไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าไทย ในภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยอีกทางหนึ่ง
ดร.รักษ์เปิดเผยว่า สำหรับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของธุรกิจธนาคาร โดยสถาบันการเงิน โดยทั่วไปจะได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น จากส่วนต่างรายได้สุทธิ (NIM) ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรและผลประกอบการในภาพรวมดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ไม่ได้มุ่งหวังกำไรสูงสุดเป็นสำคัญ เมื่อประกอบกับการที่ EXIM BANK ไม่ได้มีฐานเงินฝาก แต่จะระดมทุนผ่านตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้ถือเป็นโอกาสที่ชัดเจนสำหรับ EXIM BANK เหมือนสถาบันการเงินอื่นๆ
สำหรับความท้าทายที่สำคัญของภาคการเงินในยุคอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของการบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติ COVID-19 ที่ยืดเยื้อมาหลายปี ธุรกิจส่วนใหญ่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และยังไม่กลับไปสู่จุดเดิมก่อนเกิด COVID-19
ขณะที่ผู้ประกอบการจำนวนมาก จำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดในช่วงวิกฤติ ทำให้ดอกเบี้ยที่กลับสู่ทิศทางขาขึ้น อาจนำไปสู่ NPLs ของภาคการเงินที่สูงขึ้น ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดในปี 2566
ขณะที่ความท้าทายอื่นๆ ของธนาคารในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น อาทิ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน จากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มผันผวนรุนแรง โดยเฉพาะ EXIM BANK ที่มีพอร์ตสินเชื่อในต่างประเทศจำนวนมาก
เดินหน้ามุ่งสู่ผู้นำยุทธศาสตร์
การขับเคลื่อนค้าการลงทุนของไทย
ดร.รักษ์เปิดเผยว่า ในปี 2566 EXIM BANK จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามแผนธุรกิจของธนาคาร ซึ่งปรับโฉมใหม่ใน 3 ด้านหลัก ดังนี้
Value Chain Integrator กล้าเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยและสร้างกลไกเชื่อมต่อธุรกิจไทยสู่ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ระดับโลก เช่น สนับสนุนผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก ซึ่งครอบคลุมถึงกลุ่ม SMEs และบุคคลธรรมดา โดยเน้นความร่วมมือ (Synergy) ระหว่าง EXIM BANK กับสถาบันการเงินอื่น
New Engine Builder กล้าสร้างธุรกิจดาวรุ่งใหม่ของไทย โดยส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาซึ่งเทคโนโลยีและยกระดับฐานอุตสาหกรรมของไทย อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve
Net Zero Escalator กล้าสานต่อกับกฎกติกาการค้าโลกและนโยบายภาครัฐ ด้วยการสนับสนุนธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) และยกระดับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานการค้าสากล พร้อมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในองค์กร (Eco-efficiency) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ที่สะท้อนถึงบทบาทและพันธกิจของ EXIM BANK ในการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน ในปี 2566 EXIM BANK จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามแผนธุรกิจของธนาคารซึ่งปรับโฉมใหม่ใน 3 ด้านหลัก คือ Value Chain Integrator, New Engine Builder และ Net Zero Escalator”
ดร.รักษ์เปิดเผยว่า เพื่อให้บรรลุแผนยุทธศาสตร์องค์กรดังกล่าว EXIM BANK ต้องทำการผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ และได้วางเป้าหมายให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนองค์กร (Transformation) ใน 4 ด้าน ได้แก่
- Product การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในด้านการเงิน (สินเชื่อ ประกัน และบริการ/นวัตกรรมทางการเงินอื่นๆ) และด้านไม่ใช่การเงิน โดยเฉพาะความรู้ก่อนลงสนามการค้าโลก กิจกรรมที่จะช่วยขยายเครือข่ายการตลาด เช่น การจัด Business Matching เพื่อสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการ
- Partner การสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การร่วมมือกับ Team Thailand ที่ประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจในการส่งเสริมการค้าการลงทุนไทยในต่างประเทศ การร่วมมือกับธนาคารหรือสถาบันการเงินระดับโลก ในการหาโอกาสสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกรรมระหว่างกัน
- Process & Technology การปรับปรุงกระบวนการเพื่อรองรับการขยาย/รุกตลาด ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบงานในองค์กร และการขยายช่องทางในการติดต่อและทำธุรกรรมของลูกค้า บนพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ท่ามกลางกระแสดิจิทัลที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ
- People การพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากร เพื่อให้มีศักยภาพต่อการดำเนินงานและก้าวทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป รองรับ Future Skill ใหม่ๆ โดยเฉพาะ Data Analytics รวมทั้งการขยายบทบาท EXIM BANK ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น
ด้านการให้คำปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory) ด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) ด้านการสร้างระบบนิเวศภายใต้ Net Zero Emission รวมไปถึงการปรับโครงสร้างองค์กร (Organization Transformation) ให้สอดรับกับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนดูแลความเป็นอยู่และสวัสดิการของพนักงาน เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็น Emphatic Workplace และพร้อมจะส่งมอบบริการแก่ลูกค้าอย่างเต็มกำลังและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ EXIM BANK สามารถเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10% เป็น 17% ภายในปี 2570 นอกจากนี้ จะขยายสินเชื่อคงค้างจาก 168,331 ล้านบาทในปี 2565 เป็นอย่างน้อย 300,000 ล้านบาท ในปี 2570 โดยมีสัดส่วน Portfolio ในกลุ่ม BCG 50% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด และรักษา NPL Ratio ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.88% ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามเดิม
โดยสะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ EXIM BANK บนพื้นฐานที่มั่นคงและยั่งยืน ภายใต้สมการการดำเนินธุรกิจที่ EXIM BANK ใช้เป็นแนวทางที่เริ่มจากการให้ความสำคัญกับคน (People) ควบคู่ไปกับการดูแลและสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ (Planet) ผสมผสานกับการสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (Productivity) ซึ่งจะนำไปสู่กำไร (Profit) อย่างยั่งยืนในบริบทใหม่ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank) อย่างเต็มรูปแบบ