ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถ้า Binance ล่ม คริปโตจะจบไหม?

โดย โบโบ้
เผยแพร่ :
191 views

ถ้า Binance ล่ม คริปโตจะจบไหม?

ย้อนร้อย Mt. Gox เหตุการณ์ล่มสลายของอดีต Exchange อันดับ 1

 

.

ในช่วงนี้มีกระแสข่าว FUD (Fear, Uncertainly, and Doubt) หรือความกลัว, ความไม่แน่นอน และความสงสัย มากมายในตลาดคริปโต อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ล้มละลายของ FTX อดีตแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันดับ 2 ของโลก ซึ่งได้ส่งผลกระทบแบบโดมิโน (Domino Effect) ไปยังหลากหลายธุรกิจในอุตสาหกรรมคริปโต รวมไปถึง Exchange อันดับ 1 ของโลกอย่าง “Binance”

.

วันนี้แอดมินจะพาย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจช่วยให้เราเห็นภาพอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับกรณีการล่มสลายของอดีต Exchange อันดับ 1 ในวงการคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมี Volume ซื้อขาย Bitcoin (BTC) สูงถึง 80% ของ Exchange ทั้งหมด ไปดูกันเลยกับ “ถ้า Binance ล่ม คริปโตจะจบไหม? ย้อนร้อย Mt. Gox เหตุการณ์ล่มสลายของอดีต Exchange อันดับ 1”

.

Mt. Gox คืออะไร

Mt. Gox เป็น Exchange สำหรับซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลของโตเกียว ดำเนินการในระหว่างปี 2010-2014 ก่อตั้งโดย “เจด แมคคาเลบ” (Jed McCaleb) ซึ่งเขาได้ขายบริษัทให้กับ “มาร์ก คาร์เปเลส” (Mark Karpelès) ในเดือนมีนาคม ปี 2011 และยังคงถือหุ้นบางส่วน

.

ย้อนกลับไปในปี 2007 “เจด แมคคาเลบ” เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ต้องการสร้างตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนการ์ดเกม Magic: The Gathering ซึ่งเป็นที่นิยมมากในขณะนั้น เขาได้ใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า Mtgox.com ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า Magic: The Gathering Online eXchange

.

ทั้งนี้ เมื่อเปิดตัวได้ 3 เดือน “แมคคาเลบ” ก็เริ่มสนใจจะทำโปรเจกต์อื่นมากกว่า จึงเลิกพัฒนา Mt. Gox ต่อ และในปี 2009 เขายังใช้เว็บไซต์นี้ในการเปิดตัวการ์ดเกม The Far Wilds ซึ่งเขาเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง

.

เส้นทางสู่คริปโต Exchange

ต่อมาในปี 2010 เขาได้รู้จักกับชุมชน Bitcoin (BTC) ผ่านบอร์ดออนไลน์แห่งหนึ่ง และได้รับรู้ว่าการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงนั้น มีระบบที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยน Mt. Gox ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี

.

แต่การพัฒนาธุรกิจให้มีศักยภาพ ต้องใช้แรงกาย และเวลาอย่างมาก “แมคคาเลบ” จึงตัดสินใจส่งมอบธุรกิจให้กับคนอื่นที่พร้อมกว่า โดยผู้ที่มาสานต่อภารกิจในครั้งนี้ คือ “มาร์ก คาร์เปเลส” โปรแกรมเมอร์ผู้คลั่งไคล้ Bitconi (BTC) ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยทั้งสองทำข้อตกลงเพิ่มว่า แมคคาเลบจะยังคงได้รับส่วนแบ่ง 12% จากรายได้ตลอดไป

.

ขึ้นแท่นสู่ Exchange อันดับ 1

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว คาร์เปเลสได้เริ่มเขียนซอฟต์แวร์เสริมให้กับเว็บไซต์ในทันที และเปิดให้ใช้บริการในฐานะคริปโต Exchange อย่างเป็นทางการ ในปี 2010

.

อย่างไรก็ตาม “ที่ไหนมีเงิน ที่นั่นมีโจร” Mt. Gox ถูกแฮกเป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2011 ส่งผลให้เว็บไซต์ต้องออฟไลน์เป็นเวลาหลายวัน แต่ในเวลาต่อมาได้มี 2 โปรแกรมเมอร์ระดับมืออาชีพจากชุมชน Bitcoin (BTC) อย่าง เจสซี พาเวลล์ (Jesse Powell) ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของ Kraken Exchange และโรเจอร์ เวอร์ (Roger Ver) อาสาเข้ามาช่วยเหลือจึงทำให้ Mt. Gox สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง

.

ในช่วงเวลานั้น โดยปกติแล้ว Exchange ที่ถูกแฮกมักจะปิดตัวลงอย่างถาวร แต่ Mt. Gox ได้ทำสิ่งที่ต่างออกไป ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากชุมชน Bitcoin (BTC) และความเชื่อถือจากบริษัทต่าง ๆ จนกระทั่งในปี 2013 บริษัทได้ขึ้นแท่นเป็น Exchange อันดับ 1 ของวงการคริปโตเคอร์เรนซี ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในโลก ถึง 80% ของธุรกรรมคริปโตทั้งหมด

.

เดินหน้าสู่การล่มสลาย

“คาร์เปเลส” ถูกตั้งคำถามในด้านการบริหารมากมายจากพนักงานภายในบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการนิ่งเฉยเมื่อตอนที่ถูกแฮกเป็นครั้งแรก ชนิดที่ว่าเขายังประกาศหยุดงานทั้ง ๆ ที่ปัญหายังแก้ไขไม่เสร็จ หรือการไม่สนใจลงทุนในซอฟต์แวร์ และปล่อยให้นักพัฒนาต้องเขียนโค้ดขึ้นมาใช้เอง

.

นอกจากนี้ คาร์เปเลสยังรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้กับตนเอง ส่งผลให้การจะทำอะไรสักอย่างต้องใช้เวลา และยุ่งยากมากขึ้น เช่น เขาเป็นคนเดียวที่สามารถอนุมัติการเปลี่ยนแปลงโค้ดของเว็บไซต์ได้ หมายความว่าหากเว็บไซต์เกิดปัญหาขึ้นมา จะต้องรออนุมัติจากเขาก่อนจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

.

และสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นมากที่สุด คือ หลายครั้งที่ระบบ Exchange มีการอัปเดต ทางบริษัทไม่มีการทดสอบระบบ แต่กลับปล่อยให้ใช้บริการโดยทันทีโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเสียหายของลูกค้า

.

ปัญหาด้านการบริหารหลายอย่างของ Mt. Gox ได้สะสมเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ทาง Mt. Gox ได้ประกาศระงับการถอน Bitcoin (BTC) ทั้งหมด แต่ไม่ได้ระงับการซื้อขายบนกระดานเทรด โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาทางเทคนิค

.

ผ่านไป 2 สัปดาห์หลังจากการประกาศระงับการถอน Mt. Gox ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ และไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานถอนเงินออกไปได้ จนทำให้เกิดการประท้วงอย่างหนักที่หน้าอาคารบริษัท ส่งผลให้ Mt. Gox สำนักงานไปอยู่ที่อื่น โดยอ้างเหตุผลความปลอดภัยของบริษัท

.

ในเวลาเพียงไม่นาน สิ่งที่นักลงทุนคริปโตในขณะนั้นกลัวที่สุดก็ได้เกิดขึ้น โดย Mt. Gox ระงับการซื้อขายทั้งหมดบนกระดานเทรด ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เว็บไซต์ของ Mt. Gox ก็ได้กลายเป็นเพียงหน้าว่างเปล่า และมีข่าวการยื่นล้มละลายของบริษัทในเวลาต่อมา ปล่อยให้นักลงทุนลอยเคว้งกับคำถามว่า “เงินของพวกเราหายไปไหน”

.

ถูกแฮกมาตลอดหลายปี

ภายหลังจากเหตุการณ์ล้มละลายของ Mt. Gox ก็ได้มีข้อมูลเผยแพร่ออกมาว่า สาเหตุที่ Mt. Gox ต้องปิดระงับการถอน และยื่นล้มละลายไปในที่สุด มาจากการที่บริษัทถูกแฮกเกอร์ขโมย Bitcoin (BTC) มาตลอดหลายปี แต่บริษัทกลับเลือกที่จะปกปิดปัญหาดังกล่าว และไม่มีการดำเนินการแก้ไขใด ๆ โดยจำนวน Bitcoin (BTC) ที่ถูกขโมยไปทั้งหมดคิดเป็นจำนวนกว่า 650,000 BTC

.

เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกตีเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในโลกคริปโต

.

บทความโดย คุณานันต์ TECHTORO 

 

 


โบโบ้