สรุปจากการฟัง Opp day ครับ สั้นๆ
- หุ้น S ทำธุรกิจ 3 อย่าง คือ ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจคอมเมอร์เชียล และ ธุรกิจโรงแรม โดยยังคงเน้นใน 3 ธุรกิจนี้ ไม่ได้มองไปที่ธุรกิจไหนเลย
- ตั้งเป้าปีนี้รายได้ 2 หมื่นล้าน แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าจะมีรายได้รวมแตะ 4 หมื่นล้านบาท
- คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี โครงการล่าสุด บริเวณซอยรางน้ำ จำนวน 1 อาคาร ความสูง 35 ชั้น มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท
- ธุรกิจตึกออฟฟิศ เตรียมทำโครงการ OASIS ซึ่งเป็นโครงการอาคารสํานักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า มูลค่าการลงทุนรวม 3,695 ล้านบาท ความสูงทั้งสิ้น 36 ชั้น โดยมีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สํานักงาน และ พื้นที่ค้าปลีก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 65
- กองทุน SPRIME กระแสตอบรับดีมากจากนักลงทุนสถาบัน
- ธุรกิจโรงแรมป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักที่สร้างรายได้สูงให้กับบริษัท ตอนนี้มี 37 โรงแรมทั่วโลก และโครงการที่กำลังจะเปิด โครงการครอสโร้ดส์
- ในปีนี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการรับรู้รายได้จากโครงการที่สร้างเสร็จ โดยจะรับรู้รายได้จากการโอนโครงการ ได้แก่ ดิ เอส อโศก , ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพซึ่งรวมแล้วเรามียอดขายรอโอน หรือ Backlog ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะรับรู้ปีนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังไม่รวมการรับรู้รายได้เต็มปีจากอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ 6 โรงแรม และ เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ ครอสโร้ดส์ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ที่จะเปิดในช่วงกลางปีนี้
สรุปบทวิเคราะห์
บล.ทิสโก้ ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/61 ออกมาดีกว่าคาด เนื่องจากรายได้และอัตรากำไรที่ดีกว่าคาด โดยรายได้อยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากปีก่อน และ 101% จากไตรมาสก่อน ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากคอนโดและบ้านเดี่ยวที่มียอดขาย 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 357% จากปีก่อน จากการโอนโครงการ The Esse Asoke และ Banyan Tree Residences คิดเป็น 29% ของยอดขาย โดยรายได้จากการบริการและค่าเช่าลดลง 32% จากปีก่อน เนื่องจากรายได้พิเศษในไตรมาส 4/60 จากการชำระค่าเช่าตึก Singha Complex มูลค่า 1.53 พันล้านบาท หลังการโอนให้กลุ่มบุญรอด
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 49.5% จากเดิม 45.6% จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 31.8% จากเดิม 17.1% เนื่องจากค่าใช้จ่ายบุคคล และค่าใช้จ่ายในการทำ M&A โดยรวมแนะนำให้ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 5.10 บาท อ้างอิง SOTP
คาดแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ เติบโตเด่นต่อเนื่อง จากโครงการที่กำลังพัฒนามูลค่ารวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท รวมถึงการเพิ่มขึ้นของธุรกิจโรงแรมและพื้นที่ให้เช่า
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุว่า เราคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 62-63 โดยปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีโครงการพัฒนาอยู่กว่า 22 โครงการ มูลค่ารวม 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นภายใต้ Singha estate 5 โครงการ มูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท และ NVD ซึ่ง S ถือหุ้น 52% รวม 17 โครงการ มูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านบาท 2.ธุรกิจโรงแรม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแผนเปิด 2 โรงแรม ที่มัลดีฟส์ ชื่อ Hard Rock Hotel และ SAii Lagoon (Hilton) จำนวน 376 ห้อง 70% ของเฟสแรกของโครงการ Crossroads ทำให้จำนวนห้องพักจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,647 ห้อง 3.ธุรกิจพื้นที่เช่า มีแผนขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น 15% ต่อปีใน 3 ปีข้างหน้า เป็น 1.86 แสนตารางเมตร จากโครงการ Crossroads 1.1 หมื่นตารางเมตร ในปี 62 และตึก OASIS จำนวน 5.4 หมื่นตารางเมตร ในปี 64 ส่งผลให้กำไรปี 62-63 น่าจะทำได้ 1.73 พันล้านบาท และ 2.05 พันล้านบาท ตามลำดับ
โดยภาพรวมเรามองว่ากลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ จะทำให้รายได้และกำไรของ S มีความมั่นคงและลดความเสี่ยงจากรายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเราคาดสัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มขึ้นเป็น 56% ในปี 67 จาก 26% ในปี 62 จากการเพิ่มโรงแรมผ่านการทำ M&A และขยายห้องพักโรงแรมเดิม
เราเชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่สะท้อนรายได้ส่วนของโรงแรมและพื้นที่เช่าเท่าที่ควร เราจึงคงคำแนะนำ ซื้อ และประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 4.2 บาท เทียบเท่า PER ปี 62 ที่ 16.5 เท่า แบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1.9 บาท อิง PER 10.5 เท่า และธุรกิจโรงแรมและพื้นที่เช่า 2.3 บาท อิง PER 30.5 เท่า