ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นใช้จ่ายบัตรเครดิต

โดย Durant
เผยแพร่ :
63 views

หุ้นใช้จ่ายบัตรเครดิต “KTC-AEON” จะฝ่าวิกฤติ COVID-19 ไปได้ไหม ?

สำหรับหุ้นที่เราจะนำมาประชันกันในวันนี้คือ KTC กับ AEONTS หุ้นบัตรเครดิตและปล่อยสินเชื่อรายย่อยสัญชาติไทย-ญี่ปุ่น ที่ได้ประกาศผลประกอบการไปเรียบร้อยแล้ว มาดูกันว่าหุ้นทั้ง 2 ตัวจะฝ่าวิกฤติ COVID-19 ไปได้ไหม เนื่องจากการปิดเมืองหรือ Lock Down ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อการใช้จ่ายบัตรในห้าง โดยเฉพาะ KTC ที่ส่วนใหญ่มีโปรโมชั่นกับร้านอาหาร


เริ่มจากบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ KTC มีธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49.10% โดยโครงสร้างรายได้ของบริษัทยังมาจากธุรกิจบัตรเครดิตเป็นหลัก ล่าสุดในไตรมาส 1/2563 บริษัทรายงานกำไรสุทธิภายใต้ TFRS9 ที่ระดับ 1,641 ล้านบาท มีการเติบโตทั้งในด้านรายได้และกำไร มียอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทยังควบคุมค่าใช้จ่ายทางการเงินได้ดี มีรายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมี NPL ตามมาตรฐาน TFRS9 อยู่ในระดับ 4.01% ตามคาด

 

 

COVID-19 กระทบยอดใช้บัตรเครดิต KTC

แต่ในรอบ 2 เดือน (ม.ค.และก.พ.) ปี 2563 ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทขยายตัว 10% สูงกว่าอัตราเติบโตของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 6.2% แต่ด้วยผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทในเดือนมีนาคมลดลง ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในไตรมาสแรกของปี จึงมีอัตราขยายตัวเพียง 2.2% หรือมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 50,167 ล้านบาท


ไตรมาส 1/2563 ทาง KTC มีฐานสมาชิกรวม 3.5 ล้านบัญชี โดยสัดส่วนระมาณ 50% เป็นลูกค้าในกรุงเทพและปริมณฑล มีจำนวนบัตรเครดิตรวมประมาณ 2.59 ล้านบัตร เติบโต 10.4% และสินเชื่อส่วนบุคคลจำนวน 926,729 บัญชี ลดลง 6% จากการปิดบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว

 

 

โบรกฯ ประเมินยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเม.ย. ลดลง 40%

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า การใช้จ่ายผ่านบัตร KTC ในช่วงม.ค.-ก.พ.63 ยังคงโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ผลจากการปิดห้างและ lock down ประเทศ ที่เริ่มราวกลางเดือนมี.ค.นี้ ทำให้เดือนมี.ค. การใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้การใช้จ่ายผ่านบัตรไตรมาส 1/2563 หดตัวลง 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


สำหรับเดือนเม.ย.ที่รับผลกระทบหนักมาก อาจทำให้ยอดการใช้จ่ายลดลงถึง 40% และยอดเบิกเงินสดลดลงราว 10% ของยอดเฉลี่ยปกติ แม้ยังไม่จบเดือน


ทั้งนี้ต้องรอประเมินผลกระทบอีกครั้งในไตรมาส 2/2563 ก่อนปรับเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจต่อไป แต่ผู้บริหารยอมรับยังค่อนข้างประเมินยาก เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อเพียงใด ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า ไตรมาส 2/2563 น่าจะเป็นไตรมาสที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอยู่สำหรับ KTC


แต่หากสถานการณ์คลี่คลายได้เร็ว ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร รวมถึงสินเชื่อน่าจะกระเตื้องขึ้นได้เร็วในช่วงท้ายปี สรุปนักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยปรับราคาเป้าหมายปี 63 ลงมาอยู่ที่ 36.25 บาท (อิง PBV 4X) จากภาวะธุรกิจที่ยังถูกกดดันจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

 

การใช้จ่ายบัตรฯ กระจุกตัวในกลุ่มร้านอาหาร-ท่องเที่ยวเป็นหลัก

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด คาดว่ากำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2563  หดตัวอย่างหนัก จากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการใช้จ่ายบัตรเครดิตของ KTC เนื่องจากการใช้จ่ายส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มร้านอาหาร และกลุ่มท่องเที่ยวเป็นหลัก


นอกจากนี้สถานการณ์ดังกล่าว ยังส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยคาดว่าในไตรมาส 2/2563 จะเห็นการเร่งตัวของหนี้ NPL เพิ่มขึ้น และจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายสำรองที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีความตั้งใจที่จะใช้เกณฑ์การตั้งสำรองตามมาตรฐาน TFRS9 (ไม่ได้ใช้เกณฑ์ผ่อนปรนของ ธปท.) ดังนั้นคาดว่าตัวเลข NPL ในช่วง ไตรมาส 2/2563  ที่ออกมา จะสะท้อนสถานการณ์จริงในปัจจุบันแล้ว ทำให้ความกังวลต่อ NPL ที่อาจจะสูงขึ้นในภายหลังมีแนวโน้มลดลง

 

 

ระยะยาวพื้นฐานหุ้น KTC ยังดี

โดยรวมจึงมองปัจจัยพื้นฐานของ KTC ยังไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ได้รับผลกระทบจาก Lockdown และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าภายหลังสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น และเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown ในเขตเมือง จะทำให้ประชาชนกลับมาจับจ่ายใช้สอยอีกครั้ง ส่งผลบวกโดยตรงต่อ KTC จึงคงคำแนะนำเชิงปัจจัยพื้นฐาน “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท อิงค่า PBV ที่ 5.0 เท่า

 

 

ด้านบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ถือเป็นหุ้นให้บริการสินเชื่อรายย่อย ทั้งรูปแบบสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคลและอื่น ๆ ใน CLMVT ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย มี AEON FINANCIAL SERVICE CO.,LTD. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 35.12% ปัจจุบันมีจำนวนบัตรสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่ออื่น ๆ ประมาณ 9 ล้านบัตร แบ่งเป็นบัตรสมาชิก 6.15 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 4% และบัตรเครดิต 2.85 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 9%


ในรอบงบบัญชีปี 2563 (สิ้นสุดรอบบัญชีสิ้นปี ก.พ.2563) มีรายได้ 22,262.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562  ที่มีรายได้ 19,877.89  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3,975.36 ล้านบาท เติบโตจากรอบบัญชีปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 3,506.49  ล้านบาท

 

 

กำไรสุทธิ AEONTS ทำนิวไฮ 

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป จำกัด (มหาชน) รายงานว่า กำไรไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 29.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.6% จากไตรมาส 3/2563 จากรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีกำไรจากการขาย NPL ออกไปจำนวนมากถึง แม้ว่าการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม


ส่วนในด้านสินเชื่อ ไตรมาส 4/2563 เติบโตน้อยที่สุดในรอบปี โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.45% จากไตรมาสก่อน และทั้งปีเติบโตได้ 9.4% โดยสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสินเชื่อที่เติบโตสูงที่สุดถึง 145% สินเชื่อเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้น 10% และสินเชื่อบัตรเครดิต เพิ่มขึ้นเพียง 1% อย่างไรก็ตาม NPL ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเป็น 3.67% จาก 3.49% ในไตรมาสก่อน


ทั้งนี้คาดว่าปี 64 ทาง AEONTS จะมีกำไร 3,800 ล้านบาท ลดลง 5.2% จากรอบบัญชีปี 2563 เป็นผลมาจากการตั้งสำรองสูง และผลตอบแทนสินเชื่อลดลง ปรับราคาพื้นฐานเป็น 166 บาท ส่วนต่างยังค่อนข้างมาก และมีปันผล จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”


ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่าแม้มี AEONTS มีแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากปีก่อน ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มอ่อนแอ แต่ปัจจัยลบดังกล่าวถูกชดเชยด้วยปัจจัยบวก จาก 1.รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิโต 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดรับกับขนาดของพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว 2.รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับขึ้นเด่น 76.1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขายลูกหนี้ที่ตัดจำหน่ายไปแล้ว และ 3.Cost to Income Ratio ลดลงจาก 47.6% ในช่วงไตรมาส 4/2562 เหลือเพียง 41.9% สะท้อนความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ AI เข้ามาบริหารจัดการ ทำให้ต้นทุนการติดตามหนี้ลดลง


แม้เราคาดแนวโน้มผลประกอบการปีนี้ของ AEONTS จะไม่โดดเด่นเพราะถูกกดดันจากการบริโภคในประเทศที่หายไปมาก แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลงกว่า 37%YTD ทำให้มองว่าตลาดได้ตอบรับปัจจัยลบไปมากจนมี Downside จำกัด อีกทั้งปัจจุบัน AEONTS ซื้อขายในระดับ PBV ต่ำเพียง 1.45x ต่ำค่าเฉลี่ยในอดีตและต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง KTC ที่ซื้อขายที่ PBV 4.15x ทำให้เรามองว่า AEONTS มีความน่าสนใจในแง่ Valuation เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant