“ไทยแลนด์ แกรนด์ เซลล์”
SET50 ราคาร่วงแรง แต่อัพไซต์ยังน่าสะสม

.
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565) ยังคงติดลบอยู่ที่ -2.12% แต่ก็ยังมีหุ้นที่ปรับตัวลงกว่าดัชนีโดยเฉพาะในกลุ่ม SET50 ที่เป็นกลุ่มมาร์เก็ตแคปสูงสุดในตลาดหุ้น 50 อันดับแรกและยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจ
.
ซึ่งเพื่อไม่ให้เป็นการพลาดโอกาสและตอบคำถามให้แก่นักลงทุนที่สนใจในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็ได้ทำการรวบรวมหุ้นSET50 จำนวน 5 ตัว ที่ได้ตัวลดลงมาแรงตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แต่ยังมีความน่าสนใจและอัพไซต์ของราคาหุ้นให้ไปต่อได้ในอนาคต
.
KCE โบรกฯให้ราคาเป้า 51 บาท มีอัพไซต์อีก 13.33%
เริ่มกันที่ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา 48.86% หรืออยู่ที่ 45 บาทต่อหุ้น และมี P/E อยู่ที่ระดับ 21.12 เท่า โดยบทวิเคราะห์บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ให้ราคาเหมาะสมที่ 51 บาท มองว่าหุ้นยังอยู่ในรอบถูกปรับลดประมาณการอีกระยะ และรอบการลงทุนน่าจะต้องรอในช่วงไตรมาส 1/66-2/66 เป็นอย่างเร็ว
.
ส่วนแนวโน้มปี 2566 เราคาดก่อนหน้ากำไรปกติเติบโตที่ 18% จากปีก่อนหน้า แต่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการถึงรอบการลงทุนขยายโรงงานในปี 2566 ก่อนจะเก็บเกี่ยวผลในปี 2567 ทำให้ปรับลดประมาณการปี 2565-2566 ลง 6% และ 15% ตามลำดับ คาดกำไรปกติปี 2565 ที่ 2.4 พันล้านบาท และปี 2566 ที่ 2.4 พันล้านบาท หลักๆ จากการปรับลดสมมติฐาน อัตรากำไรขั้นต้นและปรับเพิ่มสมมติฐานดอกเบี้ยจ่ายเพื่อใช้รองรับงบลงทุน
.
MTC ราคาทรุด -40.85% แต่กูรูให้ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท
ถัดมาเป็น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา 40.85% หรืออยู่ที่ 34.75 บาทต่อหุ้น และมี P/E อยู่ที่ระดับ 14.55 เท่า โดยบทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 47.50 บาท แม้ว่าในช่วงสั้นราคาหุ้นมีแรงกดดันจากกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 ที่ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด
.
แต่ด้วยผลดำเนินงานที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/65 และราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก ทำให้มองว่า MTC มีโอกาสลดลงที่จำกัด อีกทั้งบริษัทยังสามารถรักษาการเติบโตของสินเชื่อใหม่ได้ดี และระดับ NPL ในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล
.
SAWAD เซียนหุ้นชี้ราคาเป้าหมาย 64 บาท เมินราคาดิ่ง -32.39%
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา 32.39% หรืออยู่ที่ 41.75 บาทต่อหุ้น และมี P/E อยู่ที่ระดับ 13.23 เท่า โดยบทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 64 บาท เนื่องจากมองราคาหุ้นปรับลงจากความกังวลต่อผลกระทบของเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานมือหนึ่งที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยที่เก็บจริงในปัจจุบัน แต่ราคาหุ้นได้ตอบรับปัจจัยลบไปมากแล้วจนมูลค่าหุ้นอยู่ในจุดน่าสนใจและต่ำกว่าคู่แข่ง
.
TIDLOR ติดโพลกูรูหุ้นเชียร์ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 32 บาท
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา 29.45% หรืออยู่ที่ 25.75 บาทต่อหุ้น และมี P/E อยู่ที่ระดับ 18.22 เท่า โดยบทวิเคราะห์บล.ดาโอได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 32.00 บาท จากผลการดำเนินงานที่ขยายตัวดีช่วงปี 2565-2567 EPS CAGR ที่ +23% หนุนโดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีละ 20%, ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าคู่แข่งและมีระดับสำรองที่สูง ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงจาก NPL ที่เพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งมีโอกาสในการปล่อยสินเชื่อประเภทใหม่ เช่น สินเชื่อที่ดิน
.
เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 3.8 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 20% และปี 2566 ที่ 4.8 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 25% จากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ยอดขาย insurance premium ที่สูงขึ้น ขณะที่ NPL ปรับขึ้นเล็กน้อย ภายใต้ระดับสำรองที่สูง
GPSC ราคาร่วง 26.48% แต่ราคากลับน่าสนใจ
.
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา 26.48% หรืออยู่ที่ 65.25 บาทต่อหุ้น และมี P/E อยู่ที่ระดับ 45.54 เท่า โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 72.00 บาท โดยประมาณการราคาหุ้นยังโอกาสปรับตัวขึ้น จากการเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5.2 กิ๊กกะวัตต์ของภาครัฐ คาดรู้ผลประมูลไตรมาส 1/66
.
ขณะเดียวกันผลประกอบการปี 2566 จะฟื้นตัวได้ดีคาดกำไรจะอยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 91% (ฐานต่ำในปี2565) เพราะอัตรากำไรการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ของโรงไฟฟ้า SPP ทยอยฟื้นตัวเพราะค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นตามค่า Ft ขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหินไม่สูงเท่าปี 2565
.
รวมถึงหุ้นยังมีความน่าสนใจจากโครงสร้างธุรกิจปลอดภัย (Defensive) ได้รับผลกระทบจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่มีโอกาสผันผวนในปีหน้า และทิศทาง Bond Yield ใกล้ทำระดับสูงสุด ซึ่งการปรับตัวลงของผลตอบแทนพันธบัตรจะทำให้มูลค่าของหุ้นโรงไฟฟ้ามีพรีเมี่ยมสูงขึ้น