ส่องแนวโน้มธุรกิจ “กลุ่มเจมาร์ท”
พบ JMT กำไรโตสวนทางบริษัทในกลุ่ม
นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจและจับตามองหุ้นกลุ่มเจมาร์ทว่าจะสามารถแก้ปัญหาของ SINGER และ SGC ได้หรือไม่ เพราะส่งผลกระทบต่อบริษัทแม่อย่าง JMART ฉุดภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มให้ชะลอตัวลง และปัจจุบันเข้าสู่เดือนสุดท้ายของไตรมาส 3/66 แล้ว ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้รวบรวมแนวโน้มการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มเจมาร์ททั้ง JMART JMT และ SINGER มาอัพเดทให้นักลงทุน มาดูกันว่านักวิเคราะห์จะประเมินผลประกอบการครึ่งปีหลังเป็นอย่างไร
.
มาเริ่มกันที่บริษัทแม่อย่าง JMART นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า เชื่อว่าผลการดําเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/66 และจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จาก 1.ธุรกิจจัดจําหน่ายโทรศัพท์มือถือ (Jaymart Mobile) ที่เป็นธุรกิจหลักได้ประโยชน์จากฤดูกาลในไตรมาส 4/66 เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีที่ผู้บริโภคมักมีการจับจ่ายสูงกว่าช่วงอื่นๆ หนุนการซื้อมือถือใหม่ บวกกับเป็นไตรมาสแรกที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มไตรมาส จากการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 3/66
.
2.ธุรกิจรองอย่างการติดตามหนี้ (JMT) คาดว่าในไตรมาส 3/66 จะเริ่มรับรู้รายได้จากพอร์ตลูกหนี้ที่ซื้อเข้ามาเพิ่ม 6 หมื่นล้านบาท และยังมีโอกาสในการซื้อเพิ่มอีกในช่วงครึ่งปีหลัง จากการที่สถาบันการเงินมีแนวโน้มจะมี NPL เพิ่มขึ้น หลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สิ้นสุดปลายปีนี้ ทำให้เทขายหนี้ในส่วนนี้ออกมา ขณะที่แรงกดดันจากภาวะต้นทุนดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
.
3.ส่วนแบ่งกําไร (ขาดทุน) จาก บ.ร่วม จะดีขึ้น จาก-ผลการดําเนินงานของกลุ่ม SINGER จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ได้ตัดหนี้สูญ และตั้งสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดจะเกิดขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษเป็นจํานวนสูงมากไปแล้วใน 2Q66 ซึ่งทําให้ความเสี่ยงดังกล่าวดูลดลง-คาดส่วนแบ่งกําไรจาก BNN (สุกี้ตี๋น้อย) จะเพิ่มขึ้นตามแผนขยายสาขาเพิ่ม โดยเฉพาะในต่างจังหวัด 4.ความเสี่ยงจากการที่จะต้องบันทึกผลขาดทุนจากเงินลงทุน โดยเฉพาะจาก BRR และ SGC น่าจะน้อยลง หลังจากที่ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว ลดลงไปแล้ว 36% และ 71% จากช่วงต้นปีตามลําดับ
.
ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการปี 2566 เป็นขาดทุน 250 ล้านบาท แต่ปรับเพิ่มปี 2567 เป็น 1.75 พันล้านบาทตามลําดับ ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ลดจาก 26 บาท เหลือ 24 บาท แต่ปรับคําแนะนําจาก Neutral เป็น Outperform
.
สำหรับ JMT นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 3/66 ยังโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ตาม cash collection ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังซื้อพอร์ตหนี้ใหญ่มูลค่าสูง 6 หมื่นล้านบาท รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC ที่คาดว่ายังดีต่อเนื่อง โดยประเมินกำไรปี 2566 ที่ 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน ตาม Cash collection และการซื้อหนี้ที่เพิ่มขึ้นหลังสถาบันการเงินเตรียมขายหนี้มากขึ้นหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมถึงปีนี้ส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ หลังเริ่มดำเนินการเต็มที่และพอร์ตหนี้ใหญ่ระดับแสนล้านบาทแล้ว โดยคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 56 บาท
.
ส่วน SINGER นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 ยังรับรู้ขาดทุนตามการตั้งสำรองด้อยค่าสินค้าและ credit cost ที่ยังสูง ตามการตัดจำหน่ายหนี้สูญ และ NPL ที่ยังไม่ดีขึ้น รวมทั้งสินเชื่อที่จะขยายตัวต่ำ ตามความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับขาดทุนสุทธิปี 2566 เพิ่มเป็น 4,178 ล้านบาท จากเดิม 1,600 ล้านบาท จากการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายสำรองด้อยค่าสินค้า และ credit cost ขึ้น เพื่อรองรับ NPL ที่สูง และกันสำรองบางส่วนเป็น overlay
.
ขณะเดียวกันฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้นเล็กน้อยเป็น 303 ล้านบาท เดิม 273 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง ตาม overlay ในปี 2566 ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ ขาย จากผลการดำเนินงานที่ยังไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ววัน และต้องอาศัยระยะเวลา 2-3 ปี เพื่อรักษาให้ NPL ดีขึ้น
