ห้องเม่าปีกเหล็ก

ลงทุนอย่างไร เมื่อไวรัสป่วน

โดย OttO
เผยแพร่ :
62 views

ลงทุนอย่างไร เมื่อไวรัสป่วน

 

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดสัมมนา IAA-SET Hot Issue ครั้งที่ 2/2563 หัวข้อ “Theme ไหนเด่น เล่นหุ้นดี หนีไวรัส” เพื่อเป็นข้อแนะนำและให้นักลงทุนได้ปรับกลยุทธการลงทุนในช่วงที่ภาวะตลาดผันผวนจากไวรัสโควิด-19 จากนักวิเคราะห์ 2 บริษัทหลักทรัพย์คือ  “เอกภาวิน สุนทราภิชาติ” ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. ไทยพาณิชย์ “วิจิตร อารยะพิศิษฐ” นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

 

*บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)


          นาย วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
 เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากว่า 250 จุด หรือ 10 % ถือว่าเป็นการปรับที่ลงแรงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ 1. ไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่เห็นจุดต่ำสุดหรือปัญหาจะสิ้นสุดเมื่อไร 2.วิกฤตภัยแล้งรอบ 40 ปี ที่สัญญาณปริมาณการสำรองน้ำปัจจุบันเหลือน้อยกว่าปีก่อน 3. ความล่าช้า พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ แต่เชื่อว่ารัฐจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งเบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่เดือน มี.ค. และผลักดันให้เกิดการลงทุนของภาครัฐ และ 4.การปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

 

          อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตัวเลขโดยรวมของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อวันในอัตราที่ลดลง อีกทั้งจำนวนผู้ป่วยที่หายดีหลังจากเข้ารับการรักษามีจำนวนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเหมือนตัวเลขทุกอย่างดูดีขึ้น เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อจีนดูลดลง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ กลับมีการกระจายตัวของผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่สาเหตุที่ทำให้หุ้นไทยปรับลงแรง เนื่องจากที่ผ่านมาคนประเมินความรุนแรงเรื่องนี้น้อยไป เช่น กรณีเกาหลีใต้ที่เคยมีผู้ติดเชื้อน้อยแต่กลับมีการแพร่ระบาดได้เร็วจากคนเพียง 1 คน และกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

 

          “สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษคือ ดูการแพร่เชื้อไปยังสหรัฐ-ยุโรป ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะถ้ามีการแพร่เชื้อที่วงกว้างขึ้นมาเมื่อไร จะย่อมส่งผลกระทบต่อดัชนีไปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย แต่ตอนนี้เป็นช่วงที่ทุกคนยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะยังเป็นโรคที่ยังไม่มีวัคซีนที่รักษาให้หายได้ ซึ่งต่างจากกรณีตอนเกิดสงครามการค้าที่สามารถดูกรอบจำกัดความเสี่ยงได้ดูจากการเจรจาของสองผู้นำประเทศทั้งสองประเทศ”

 

          ตัวเลขเศรษฐกิจ ตราบใดที่ประเทศไม่เกิดภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจเชิงเทคนิค (Technical Recession) ที่ตัวเลขเศรษฐกิจติดลบต่อเนื่องกันทั้ง 2 ไตรมาส ยังถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่ แม้หลายไตรมาสที่ผ่านมาจีดีพีปรับขึ้นตลอดเวลา แต่ไตรมาส 1/2563 นี้ จีดีพีติดลบ โดยประเมินว่าโควิด-19 จะเริ่มเบาบางลงช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป
               

          “เชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1 จะออกมาพัง เพราะปัจจัยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกตัวแทบจะไม่เติบโตเลย ทั้งการบริโภค การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การนำเข้าหรือการส่งออก แต่โมเมนตัมที่จะกลับมาเติบโตไตรมาส 2 มีโอกาสสูงให้ไม่เกิดภาวะ Technical Recession เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะรีบเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นการขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ และการกระตุ้นการบริโภค โดยประเมินจีดีพีปีนี้ 2 %”นายวิจิตรกล่าว

 

 

          มุมมองแนวโน้มนโยบายการเงินทั่วโลกยังมีนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และมีแนวโน้มสูงที่สหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงไปอีก เช่นเดียวกับที่คาดว่าคณะนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ลงอีก 0.25 % ภายในครึ่งปีแรกหากเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีขึ้น จากปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1 %

 

          แต่นักลงทุนต้องอย่าลืมมองดูที่ผลต่างการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร (Earning Yield Gap) เพราะทุกครั้งที่ Earning Yield Gap ปรับขึ้น จะไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเพราะรีเทิร์นหุ้นมากขึ้น ขณะที่ฝั่งผลตอบแทนของพันธบัตรก็ต่ำลง ปัจจุบัน Earning Yield Gap อยู่ที่ 5.7% แสดงว่าการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนมากว่าลงทุนในพันธบัตรสูงกว่า 5 % ซึ่งเมื่ออดีตที่เกิดวิกฤต Earning Yield Gap สูงถึง 6-7 % แม้กรณีนี้ถือว่าตลาดหุ้นยังน่าลงทุนอยู่ แต่ต้องคิดให้หนักว่าหุ้นจะสามารถไปได้ต่อมากน้อยขนาดไหน เพราะค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 4 % ซึ่งเป็นจุดที่นักลงทุนควรเฝ้าระวังและติดตาม

 

 

          กรอบการลงทุนและจังหวะที่เหมาะสมมองว่าปัจจุบันควรกลับมาซื้อขายกันที่แนวรับค่าเฉลี่ย  SET INDEX ย้อนหลัง 10 ปี ที่ P/E 14.4 เท่า ซึ่งจาก consensus ประเมินอัตราราคาปิดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ 96 บาท/หุ้น แต่เมย์แบงก์ฯ ปรับลดลงมาที่ระดับ 90 บาท/หุ้น รวมทั้งมองกำไรสุทธิของตลาดโดยรวมอยู่ที่ 9 แสนล้านบาท กรอบการซื้อขายอยู่ที่ 1,300-1,450 จุด แต่หากสถานการณ์โควิด-19 เลยช่วงไตรมาส 2 ไป จะเห็นดาวน์ไซด์หุ้นไทยปรับลงได้อีกครั้ง  

 

          “1,300-1,450 จุด คือกรอบการเทรดเชิงปัจจัยพื้นฐาน นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แบ่งเม็ดเงิน 20-30 % เก็งกำไรสั้นหรือทยอยสะสม ส่วนคนที่เม็ดเงินน้อยรับความเสี่ยงมากไม่ได้ ควรที่จะรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน เพราะสัญญาณการแพร่ระบาดไวรัสทั่วโลกตัวเลขเพิ่งกระตุกขึ้น ควรติดตามแพร่เชื้อเข้าสู่ระยะ 3 ของแต่ละประเทศที่สำคัญ และนักลงทุนต้องอย่าลืมดูกรอบจำกัดของตัวเองเพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน”

 

          ทั้งนี้ ให้น้ำหนักการเฝ้าระวังสู่ระยะที่ 3 เป็นหลัก แต่ความไม่แน่นอนคือ ไม่มีใครสามารถประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ และการที่หุ้นปรับตัวลงแรงในระยะที่ผ่านมาเหตุผลหลักคือ เกิดปัจจัยที่เกินความคาดหมายจากกรณีโควิด-19 เป็นหลัก และอีกด้านหนึ่งคือการที่ไม่มีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) รอเก็บหุ้นอย่างเมื่อก่อน และการที่เห็นแรงขายออกมาของกองทุน เพราะกองทุนก็ไม่สามารถประเมินจุดต่ำสุดของเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน จึงขายล็อกกำไรเพื่อไปรอรับซื้อในราคาที่ต่ำกว่า ขณะเดียวกันต้องอย่าลืมว่านักลงทุนมีเครื่องมือการลงทุนมากมาย เช่น บล็อกเทรด ใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (DW) และตลาดอนุพันธ์ (TFEX) อีกทั้งเมื่อหุ้นลงแรงอย่างนี้ต้องเจอแรงบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซลล์) ออกมาด้วย

 

 

          กลยุทธ์การลงทุนที่ผ่านมาอาจไปให้น้ำหนักในเชิงมูลค่าหุ้นพื้นฐานที่เหมาะสม (Valuation) หาหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง แต่บางครั้งตัวเลขต้องขึ้นกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งถ้ามีการคาดการณ์การณ์ที่ผิดพลาด อาจทำให้มอง P/E ที่ว่าถูกแล้ว แต่ความจริงมีราคาที่ถูกลงกว่านี้ได้อีก เช่นเดียวกับอาจจะไม่สามารถมีการจ่ายปันผลได้สูงเหมือนกันที่คาดหวังไว้ในตอนแรกได้เช่นกัน จึงแนะนำวิธีการเลือกลงทุน 5 ข้อคือ 1. เลือกหุ้นที่มีกระแสเงินสดเข้ามากกว่าออก 2. หุ้นตัวนั้นสามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และยาวนานได้ 3. ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีหนี้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่แย่  4. อัตรากำไรสุทธิไม่ทรุด เป็นสิ่งที่นักลงทุนสถาบันชอบ และ 5. โมเดลธุรกิจไม่แพ้ เพราะบางตัวมีการผูกขาด หรือบางตัวผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ

 

          กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ

 

          *กระทบน้อย กรณีนี้มองว่า ถ้าโควิด-19 เห็นการจบที่ชัดเจน ราคาหุ้นจะมีการรีบาวด์ที่เร็วและแรง แต่ระหว่างทางมีจังหวะขายกำไรในระยะสั้น

          - กลุ่มไฟแนนซ์ ที่ยังมองกำไรปีนี้เติบโตได้ 20 % แต่ต้องรอดูหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ว่าจะมีการขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ อีกทั้งยังถือเป็นกลุ่มที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง แนะนำ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SAWAD) บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ที่ธุรกิจการบริหารหนี้จะดีในช่วงเศรษฐกิจมีการชะลอตัวเพราะแบงก์จะมีการปล่อย NPL เพิ่ม ขณะที่ผลประกอบการ JMT ก็ทำกำไรเติบโตสูงสุด 20 %

          - กลุ่มสื่อสาร ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อย เพราะคนไม่กล้าออกจากบ้าน และจะมีการใช้ Data มากขึ้น แม้จะได้รับแรงกดดันจากเงินที่ต้องไปลงทุน 5 G และราคาหุ้นก็รับรู้ไปมากแล้ว มีกระแสเงินสดที่มาก แนะนำ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (ADVANC) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูง การขยายโครงข่ายที่ดี บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (INTUCH)

          - กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีปัจจัยบวกมาจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 จะเริ่มเบิกจ่ายโดยเฉพาะโครงการที่ค้างท่ออยู่ แนะนำ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (STEC) เพราะมีงานที่อยู่ในมือ (แบ็กล็อก) สูง

          - รถไฟฟ้า แม้จะมีเรื่องโควิด-19 แต่คนยังต้องเดินทาง แนะนำ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (BTS)  มีกระแสเงินสดที่ดี และมีการขยายส่วนต่างรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง 

          โรงไฟฟ้า ถือเป็นหุ้นที่ทนต่อสภาวะตลาด (Defensive Play) ที่ปีก่อนได้รับการตอบรับดี แต่ราคาเริ่มเต็มมูลค่าจนราคาปรับลงมาพอมีอัพไซต์บ้าง แนะนำ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (GULF) ที่มีการขยายกำลังการผลิตมาก และมีการขยายไปลงทุนต่างประเทศ หรือจับมือกับพันธมิตรเพื่อขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

          กลุ่มอาหาร ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่ชะลอตัว แต่คนยังจำเป็นต้องกินอยู่ แนะนำ บริษัท โอสถสภา จำกัด (OSP) ที่มีการขยายตัวไปต่างประเทศโดยเฉพาะเมียนมา แม้มีค่าเสื่อมราคาแต่ะก็สามารถชดเชยกับมาร์จิ้นที่ได้ และ บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (RBF) ถือเป็นหุ้นที่มีส่วนผสมทุกผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของเหล่านี้

 

 

          *กระทบมาก ที่อาจจะไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ลงทุนเลย แต่ต้องรอให้วิด-19 คลี่คลายลงและรอให้ราคาปรับลงมากว่านี้

          - กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่โควิดส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันและปิโตรเคมีลดลง แต่จะมีกรณีโอเปกที่จะมีการลดกำลังการผลิตลง บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (PTTEP) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (SCC)

          - กลุ่มอิเล็กทรอกนิกส์ ปีที่แล้วรับผลกระทบสงครามการค้าดีและค่าเงินบาทที่แข็งค่า และไตรมาส 1 ยังเหนื่อยเพราะได้รับผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานที่จีนมีการปิดโรงงานไป แต่ถ้าทุกอย่างคลี่คลายจะมีการดีดกลบที่เร็ว บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (HANA)

          - กลุ่มโรงพยาบาล เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยต่างชาติ ถ้าโควิดจบมีโอกาสรีบาวด์กลับได้ดี บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (BH) บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด  (BDMS)

 

 

 

*บล.ไทยพาณิชย์


          นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ ให้น้ำหนักเรื่อง ให้น้ำหนักความเสี่ยงที่ไทยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 3 เป็นหลัก ซึ่งถึงเวลานั้นจะทำให้เห็นการปรับตัวของหุ้นไทยลดลงได้ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งคือ อาจจะทำให้เห็นจุดต่ำสุดของดัชนีรอบนี้ เพราะทำให้เห็นภาพของเหตุการณ์ที่ชัดเจนขึ้น

 

          ทั้งปี คาดตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ได้รับผลกระทบทั้งจากไวรัสโควิด-19 และปัญหาภัยแล้งที่ 1.5 % ค่าเงินบาทไทยมีทิศทางอ่อนค่า เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวได้ปรับลดหายไป 10 % ซึ่งมีผลกระทบกับจีดีพี 1.2 %  บวกกับดุลบัญชีเดินสะพัดได้ลดลงเพราะเห็นตัวเลขนำเข้ามากกว่าส่งออก แบงก์ชาติมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ขณะที่ตัวเลขภาคการผลิตและการบริโภคของไทยยังอ่อนลง อีกทั้งตอนนี้ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ Risk Off ที่เงินไหลกลับไปเข้าพักพันธบัตร

 

          “การที่เห็นหุ้นไทยลงแรงตอนนี้ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีอาวุธ LTF มาประคองแบบเมื่อก่อน ขณะที่กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)  ก็ยังไม่มีเริ่มใช้อย่างเป็นทางการ”

 

 

          ผลกระทบอุตสาหกรรม กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากคือ ท่องเที่ยว กลุ่มโรงแรม กลุ่มค้าปลีกเพราะคนไม่กล้าออกไปจับจ่ายใช้สอยข้างนอก กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีลูกค้าต่างประเทศจะได้รับผลกระทบ ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มสื่อสารเพราะคนไม่ออกจากบ้านจะมีการใช้ดาต้ามือถือมากขึ้น และอาจจะส่งผลดีต่อรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายที่ดีขึ้น (Arpu) หรือกลุ่มพลังงานที่แม้ช่วงแรกความต้องการใช้ดูเหมือนจะลดลง แต่มีโอกาสที่จะปรับขึ้นเพราะโอเปกจะมีแนวโน้มการลดกำลังการผลิตได้เพื่อไม่ให้ราคาน้ำมันลดลงไปกว่านี้

 

          “อาจมีบางอุตสาหกรรมที่อาจจะต้องมีการปรับประมาณการลงรอบ 2 จากประเด็นการบริโภคภายในประเทศ เพราะบางอุตสาหกรรมยังมีประเมินออกมาดีกว่าที่ควรจะเป็น เช่น กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มอาหาร และกลุ่มเฮลท์แคร์ที่ยังมีการประเมินผลประกอบการออกมาดีอยู่ ซึ่งมีโอกาสที่จะได้รับการปรับประมาณการณ์ลดลงได้”

 

 

          5 ปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นฟื้นตัว

 

          1.นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เพราะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยอีก จากปัจจุบันเหลือ 1.75 % โดยคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงมาเหลือระดับ 1 % ซึ่งจะส่งผลต่อให้ Inverted Yield Curve ที่ปัจจุบันกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่พันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐ  1 เดือน ให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี แต่ทุกครั้งที่เฟดลดดอกเบี้ยจะมาช่วยลดผลการเกิด Inverted Yield Curve  ขณะที่คาดว่าอาจะเห็น Earning Yield Gap มีโอกาสกลับไปเท่าเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา ที่ขึ้นไปถึง 5.4 % และการที่ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยลดต่ำลงมากว่าระดับ 1,400 จุด และมองว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยเหลือ 0.5 %  นั่นแสดงว่า ตลาดกำลังจะถูกแล้ว และโอกาสที่จะเห็นดาวน์ไซต์จากนี้ลดลง 

 

          2.สถานการณ์ไข้หวัดที่บรรเทาลง

 

          3.การอัดฉีดเม็ดเงิน เห็นได้จากตลาดหุ้นจีนอัดฉีดสภาพคล่องมา และมีการลดดอกเบี้ย หลังจากนั้นตลาดหุ้นจีนก็มีการปรับขึ้นมาต่อเนื่อง

 

          4.ทุกครั้งที่หลังวิกฤตเศรษฐกิจจบจะกลับมาฟื้นตัวของดีมานด์ที่เยอะ แสดงว่าตลาดมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ดีเหมือนกัน

 

 

          กรอบการลงทุนและตัวเลขสำคัญ ประเมินผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้ยังเติบโตได้ 5 % โดยมองกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 91 บาทที่ระดับอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 15-16 เท่า เป็นระดับดัชนี 1,364  จุด ที่ปัจจัยเป็นแนวรับปัจจัยพื้นฐาน ทำให้มองว่าตอนนี้ดาวน์ไซด์ตลาดจะไม่มาก เพราะมีปัจจัยพื้นฐานมาช่วย โดยจุดที่จะทำให้มีแรงกระแทกอีกครั้งนั้นคือการเข้าประกาศเข้าสู่ระยะที่ 3 ของไวรัส ทั้งนี้ เชื่อว่าหุ้นไทยมีโอกาสกลับไปที่ระดับ 1,400 จุด แต่กรอบบนจำกัดแค่เพียง 1,460-1,470 จุด ขณะที่แนวโน้มระยะยาวอยู่ที่ 1,360-1,300 จุด ซึ่งหากการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยเข้าสู่ระยะที่ 3 โอกาสที่จะเห็นหุ้นไทยปรับลงไปแตะที่ 1,300 จุดได้

 

 

          กลยุทธ์การลงทุนและหุ้นที่เลือก

 

          ขณะที่แนะนำการจัดพอร์ตหรือสัดส่วนการลงทุน 1.การบริหารสภาพคล่องด้วยการถือเงินสด 10 % 2.ตราสารหนี้ 10% 3.ตราสารทางเลือก 20% โดยเน้นไปที่ REIT/กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนทองคำเน้นน้อยเพราะราคาปรับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง 4.หุ้น 60 % แบ่งเป็น หุ้นไทย หุ้นสหรัฐ และหุ้นจีนเป็นหลัก ถ้าก่อนหน้านี้มีการปรับพอร์ตมาถือเงินสดในระดับหนึ่งแล้ว หากหุ้นมีโอกาสปรับตัวอีก ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนหุ้นไปได้ถึง 70 %

 

          หุ้นที่แนะนำจึงเน้นไปทางที่ไปทางหุ้นประเภทที่ทนต่อสภาพตลาด (Defensive) ที่ยังมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง เช่น ADVANC และ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (TISCO) ที่มีอัตราการจ่ายปันผลกว่า 7 % รวมทั้งหุ้นที่มีความผันผวนต่อตลาด (High-beta) เช่น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (EA) ที่กำไรปีนี้จะดีต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทั้งจากธุรกิจเดิมที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มมา 600 เมกกะวัตต์  และธุรกิจใหม่รถยนต์ไฟฟ้าที่บันทึกกำไรปีนี้ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (KCE) เดิมโดนกรณีค่าบาทที่แข็งค่า แต่ตอนนี้ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่า อีกทั้งตอนนี้มีปัญหาห่วงโซ่อุปทานจากจีน แต่ถ้าสถานการณ์คลี่คลายเมื่อไร จะเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่จะกลับมารีบาวด์ได้ไว ประกอบกับราคาทองแดงซึ่งเป็นวัตถุดิบราคาเริ่มปรับลง

 

          …การลงทุนท่ามกลางภาวะที่ยังไม่แน่นอนและยังไม่เห็นจุดต่ำสุดของการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่มุมหนึ่งถ้านักลงทุนมีการเตรียมพร้อมรับมือทำการบ้านศึกษาข้อมูลไว้ก่อน ว่าหุ้นกลุ่มไหนได้รับผลกระทบมากหรือกระทบน้อย เมื่อความเชื่อมั่นกลับมาเราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่ตกขบวนรถไฟรอบนี้ก็เป็นได้…

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


OttO