ห้องเม่าปีกเหล็ก

ภาษีทรัมป์รอบใหม่ แรงทะลุนรก!

โดย ม้าสีหมอก
เผยแพร่ :
118 views

ช็อกตาแตก! ภาษีทรัมป์รอบใหม่ แรงทะลุนรก! จีน 54% EU เวียดนาม ไทย อ่วม!

 

 

ในที่สุดก็ถึงวันปลดแอกค่ะ นั่นก็คือ การประกาศใช้ "กำแพงภาษีระลอกใหม่" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

หลังข่าวนี้ออกมาปุ๊บ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ผันผวนหนัก นักลงทุน นักวิเคราะห์ ต่างพากันเกาะติดสถานการณ์ชนิดที่เรียกว่าห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว เพราะนี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาการค้าโลกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี และที่สำคัญคือโดนไปถึง 60 ประเทศ ไม่ใช่แค่ 15 ประเทศตามที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้

 

มาตรการหลักแบ่งเป็น 2 ส่วน

 

ภาษีพื้นฐาน (Baseline Tariff) 10%

อันนี้คือภาษี "ขั้นต่ำ" ที่จะเก็บกับสินค้า ทุกชนิด ที่ส่งเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่ามาจากประเทศไหนก็ตาม (ยกเว้นบางกรณีที่เราจะคุยกันต่อไป)

เริ่มเมื่อไหร่?: มีผลบังคับใช้หลังเที่ยงคืนวันเสาร์ (ตามเวลาสหรัฐฯ)

 

ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เพิ่มเติม

อันนี้เป็นภาษี "พิเศษ" ที่จะเก็บเพิ่มจากอัตรา 10% เดิม กับประเทศที่สหรัฐฯ มองว่ามีการตั้งกำแพงภาษีหรือกีดกันทางการค้า (ที่ไม่ใช่ภาษี) กับสินค้าอเมริกันสูง หรือที่ทำเนียบขาวเรียกว่าเป็น "ผู้กระทำผิดที่เลวร้ายที่สุด" (worst offenders) ประมาณ 60 ประเทศ

 

คำนวณยังไง?: รัฐบาลทรัมป์มีการคำนวณอัตราภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่แต่ละประเทศใช้กับสหรัฐฯ แล้วจะเก็บภาษี "ตอบโต้" เพิ่มเติมเท่ากับ ครึ่งหนึ่ง ของอัตราที่คำนวณได้นั้นค่ะ (ทรัมป์บอกว่านี่ถือว่า "ใจดี" แล้วนะ ไม่ได้เก็บเต็มอัตรา)

ตัวอย่างอัตราภาษีตอบโต้ (รวมกับภาษีเดิมถ้ามี):

 

จีน: โดนภาษีตอบโต้ 34% ซึ่งเมื่อรวมกับภาษี 20% ที่มีอยู่เดิม (จากกรณีเฟนทานิล) และภาษีอื่นๆ (เช่น แผงโซลาร์เซลล์) เท่ากับว่าสินค้าจีนหลายรายการอาจเจอภาษีรวมสูงกว่า 54% เลยทีเดียว! (Bloomberg Economics ประเมินว่าภาษีระดับนี้อาจทำให้การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ลดลงถึง 90% ภายในปี 2030)

 

สหภาพยุโรป (EU): 20%

เวียดนาม: 46%

ญี่ปุ่น: 24%

เกาหลีใต้: 25%

อินเดีย: 26%

กัมพูชา: 49%

ไต้หวัน: 32%

ไทย: 36%

 

เริ่มเมื่อไหร่?: ภาษีอัตราพิเศษเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ตอน 12:01 น. ของวันที่ 9 เมษายน (ตามเวลาสหรัฐฯ)

 

ใครรอด ใครไม่รอด? และสินค้าอะไรบ้างที่ได้รับการยกเว้น?

 

 

แคนาดา & เม็กซิโก: สองประเทศเพื่อนบ้านที่ค้าขายกับสหรัฐฯ มากที่สุด "รอด" จากภาษีชุดใหม่นี้ไปค่ะ เพราะปัจจุบันโดนภาษี 25% จากประเด็นเรื่องยาเสพติดและการอพยพผิดกฎหมายอยู่แล้ว ตราบใดที่ภาษีนั้นยังมีผลบังคับใช้ ก็จะไม่โดนภาษีใหม่นี้ทับซ้อน

 

สินค้าภายใต้ USMCA: ข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ (United States-Mexico-Canada Agreement) ที่ทรัมป์เคยทำไว้ สินค้าที่เข้าเกณฑ์ตามข้อตกลงนี้จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีต่อไป ซึ่งถือเป็นข่าวดีมากๆ สำหรับสินค้าเกษตรอย่าง ผลิตภัณฑ์นม, คาโนลา และน้ำตาล

เกร็ดความรู้: ถ้าหากภาษี 25% เดิมของแคนาดาและเม็กซิโกถูกยกเลิกในอนาคต สินค้าภายใต้ USMCA ก็จะยังได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในข้อตกลง จะโดนภาษี 12% แทน

 

สินค้าที่โดนภาษีเดิมอยู่แล้ว: เหล็ก, อลูมิเนียม, และรถยนต์ ที่เคยโดนทรัมป์ขึ้นภาษีไปก่อนหน้านี้ จะ ไม่ โดนภาษี "ตอบโต้" (reciprocal tariff) ใหม่นี้ซ้ำซ้อนอีก

 

สินค้าอื่นๆ ที่ยกเว้น: ทองแดง, ยา, เซมิคอนดักเตอร์, และไม้แปรรูป ที่คาดว่าจะถูกตรวจสอบภาษีภายใต้มาตรา 232 เร็วๆ นี้ ก็ได้รับการยกเว้นเช่นกัน รวมถึง ทองคำแท่ง และสินค้าพลังงานที่สหรัฐฯ ไม่มีผลิตเอง

 

เบื้องหลังความคิด: ทำไมทรัมป์ถึงทำแบบนี้?

 

สร้างความเป็นธรรมทางการค้า: เขามองว่าระบบการค้าโลกที่ผ่านมา "ไม่ยุติธรรม" กับสหรัฐฯ ทำให้ประเทศอื่นร่ำรวยขึ้นบนความเสียเปรียบของอเมริกา

 

ลดการขาดดุลการค้า: ในปี 2024 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า (นำเข้ามากกว่าส่งออก) สูงถึง 918 พันล้านดอลลาร์ ทรัมป์เชื่อว่าภาษีจะช่วยแก้ปัญหานี้

 

ฟื้นฟูอุตสาหกรรมในประเทศ: หวังว่าภาษีจะจูงใจให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ (Reshoring) สร้างงานให้คนอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน (Blue-collar workers) ที่เป็นฐานเสียงสำคัญของเขา

 

เพิ่มรายได้ให้รัฐบาล: คาดว่าจะเก็บภาษีได้หลายแสนล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปใช้สนับสนุนนโยบายลดภาษีให้คนอเมริกันต่อไป

 

ใช้อำนาจต่อรอง: ภาษีเป็นเครื่องมือในการแสดงอำนาจ, ปรับสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้า และใช้ต่อรองในประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ

อาศัยอำนาจพิเศษ: ทรัมป์ประกาศ "สถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ" ที่เกี่ยวกับภาวะขาดดุลการค้า เพื่อให้สามารถใช้อำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในการออกมาตรการภาษีได้โดยไม่ต้องผ่านสภาฯ

 

เสียงสะท้อนจากตลาดและนักวิเคราะห์

 

ตลาดตกใจ (Market Shock & Volatility):

* ปฏิกิริยาแรก: ตอนข่าวออกแค่ "ภาษี 10%" ตลาดหุ้นฟิวเจอร์สเหมือนจะดีใจ พุ่งขึ้นไปก่อน (initial rally) เพราะคิดว่าอาจไม่รุนแรง

* ปฏิกิริยาหลังรู้รายละเอียด: พอนักลงทุนเห็นอัตราภาษีที่แท้จริงของแต่ละประเทศ (ที่สูงกว่า 10% มาก) ก็เกิดอาการ "Wile E. Coyote moment" (เหมือนตัวการ์ตูนที่วิ่งเลยหน้าผาไปแล้วเพิ่งรู้ตัว) ตลาดกลับลำดิ่งลงทันที (Stocks Swoon) S&P 500 futures ร่วงกว่า 3.5%, Nasdaq 100 futures ร่วง 4.5% หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าโดนเทขายหนัก

* สินทรัพย์ปลอดภัย: นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตร ทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น (yield ลดลง)

* ค่าเงิน: เปโซเม็กซิโกและดอลลาร์แคนาดาแข็งค่าขึ้น หลังรอดพ้นจากภาษีชุดใหม่

 

มุมมองเชิงลบ / กังวล (Bearish / Concerns):

* เลวร้ายกว่าที่คาด & สถานการณ์เลวร้ายที่สุด?: Mary Lovely (Peterson Institute) บอกว่าภาษีนี้ "เลวร้ายกว่าที่เรากลัวไว้มาก" ขณะที่ Barclays ประเมินเบื้องต้นว่าภาษีทั้งหมดนี้อาจเทียบเท่าภาษีถัวเฉลี่ยทั่วโลกที่ 20% ซึ่งเป็น "สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (worst-case scenario) ที่ตลาดเคยคิดไว้" เลยทีเดียว

* ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ & การค้า: Michael O'Rourke (Jones Trading) ชี้ว่าอัตราภาษีที่สูงขนาดนี้ (20%-54%) จะกระทบหนัก โดยเฉพาะกับสินค้าสหรัฐฯ ที่ผลิตในเอเชีย (เช่น เซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน ที่โดน 32%) มันจะทำให้ "การค้าชะลอตัว ราคาแพงขึ้น บีบกำไรบริษัท" และยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้ว เพราะสร้างแรงเสียดทานและความบิดเบือนในการค้าโลก

* ความเสี่ยง Stagflation: Maeva Cousin และ Rana Sajedi (Bloomberg Economics) ประเมินว่าภาษีใหม่นี้อาจเพิ่มอัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ ถึง 17% (รวมของเดิมอาจเป็น 22%) ซึ่งสร้างความเสี่ยง Stagflation (เศรษฐกิจโตช้า + เงินเฟ้อสูง) อย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจฉุด GDP ลง 2.4% และดันเงินเฟ้อ (Core PCE) ขึ้น 1.4% ใน 2-3 ปีข้างหน้า Priya Misra (JPMorgan) ก็เห็นด้วยว่ามีความเสี่ยง Stagflation เพราะภาษีเป็นเหมือนภาระต่อผู้บริโภค/บริษัท และอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องปรับดอกเบี้ยช้ากว่าที่ควร (behind the curve)

* ภาระภาษี & เงินเฟ้อ: Ed Al-Hussainy (Columbia Threadneedle) ย้ำว่า "นี่คือผลกระทบเชิงลบที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจ" ภาษีก็คือภาษี และสุดท้ายต้องมีคนจ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคหรือบริษัท ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตเศรษฐกิจแน่นอน เป็นผลลบต่อการเติบโตและเป็นผลบวกต่อเงินเฟ้อในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม Veronica Clark (Citigroup) มองต่างมุมเล็กน้อยว่า แม้ตัวเลขภาษีจะสูงกว่าที่คาดและอาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าบางอย่างแพงขึ้น แต่เธอ "ไม่กังวลมากนัก" ว่าจะลามไปเป็นเงินเฟ้อวงกว้าง เพราะอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) ในปัจจุบันอ่อนแอลง

* ความเสี่ยงเรื่องการตอบโต้: หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดการตอบโต้ทางการค้า (Retaliation) จากประเทศต่างๆ ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลายและเลวร้ายลงไปอีก (Michael O'Rourke, Jones Trading)

 

มุมมองจากฝั่งรัฐบาล (Scott Bessent - รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ):

* คำเตือนเรื่องการตอบโต้: Scott Bessent ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television ทันทีหลังทรัมป์ประกาศ โดยเน้นย้ำและ "เตือน" ประเทศคู่ค้าว่า "อย่าพยายามตอบโต้"

* อัตรานี้คือเพดานสูงสุด (ถ้าไม่ตอบโต้): เขากล่าวว่า "ตราบใดที่คุณไม่ตอบโต้ นี่คือตัวเลขเพดานสูงสุดแล้ว" ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าหากมีการตอบโต้ อัตราภาษีอาจถูกปรับขึ้นได้อีก

* ท่าทีเรื่องการเจรจา: เมื่อถูกถามเรื่องการเจรจาต่อรอง Bessent ตอบว่า "เดี๋ยวเราค่อยดูกัน" และยังบอกด้วยว่า แม้จะมีบางประเทศติดต่อเข้ามาเพื่อพูดคุยเรื่องการค้าแล้ว แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะ "ปล่อยให้สถานการณ์นิ่งๆ ไปสักพักก่อน" และ "รอดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป" ซึ่งสะท้อนท่าทีที่ยังไม่รีบร้อนเจรจา และอาจรอดูท่าทีของประเทศต่างๆ ก่อน

 

มุมมองเชิงบวก / เป็นกลาง / กลยุทธ์ (Bullish / Neutral / Strategic):

* แค่จุดเริ่มต้นเจรจา?: Chris Zaccarelli (Northlight Asset Management) และ Adam Hetts (Janus Henderson) มองว่าอัตราภาษีที่สูงลิ่ว "ตะโกนบอกว่าเป็นกลยุทธ์การเจรจาต่อรอง" ซึ่งหมายความว่านี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น และสุดท้ายอาจมีการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีลงก็ได้

* โอกาสในการซื้อ?: Steve Chiavarone (Federated Hermes) มองว่าถ้าอัตราที่ประกาศนี้เป็น "ระดับที่รุนแรงที่สุดแล้ว" (most draconian levels) และข่าวหลังจากนี้มีแต่เรื่องการเจรจาลดภาษี นั่นอาจเป็น "ผลดีต่อตลาด" การที่ตลาดตกใจเทขายตอนนี้ อาจ "สร้างโอกาสในการเข้าซื้อ" (buying opportunity) เขาบอกว่า "ยอมเจออัตราสูงตอนนี้ แล้วมีโอกาสลดลง ดีกว่าเจออัตราต่ำแล้วมีแต่ขู่ว่าจะขึ้นอีก"

* ความชัดเจนอาจดีกว่า?: มีมุมมองว่าการที่ทรัมป์ประกาศแผนออกมาให้ชัดเจน แม้จะรุนแรง ก็อาจดีกว่าปล่อยให้ตลาดคาดเดาไปเรื่อยๆ ความชัดเจนนี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนที่รอจังหวะอยู่ (dip-buyers) กล้ากลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้ที่ราคาตกไปก่อนหน้านี้

 

ความท้าทายและความไม่แน่นอน:

* ผลกระทบต่อกำไรบริษัท: Matt Maley (Miller Tabak + Co.) ชี้ว่าการที่ทรัมป์ดูเหมือนจะไม่กังวลผลกระทบระยะสั้นต่อตลาด หมายความว่าตลาดยิ่งต้องจับตาดู "การคาดการณ์ผลประกอบการ (earnings guidance)" ของบริษัทต่างๆ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าอย่างใกล้ชิด ถ้าตัวเลขยังคงแย่ลง ก็จะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นต่อไป

* ความไม่แน่นอนคือศัตรูตัวฉกาจ: Priya Misra (JPMorgan) ย้ำว่าเธอ "กังวลที่สุดกับประเด็นความไม่แน่นอน" ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคไปแล้ว หากอีกหลายเดือนข้างหน้ายังคงอยู่ในการเจรจา ความไม่แน่นอนก็จะยังสูงต่อไป

* ใครจะกล้าซื้อสวน?: Cameron Crise (Macro Strategist) ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่ตลาดหุ้นฟิวเจอร์สโดนหลอกให้ขึ้นแล้วโดนทุบลงมา ("Wile E. Coyote moment") ทำให้นักลงทุน "นิ้วพอง" (burned fingers) กันไปเยอะ ก็ต้องรอดูว่าจะมีใครกล้ากลับเข้ามา "ซื้อตอนย่อ" (buy the dip) ในวันถัดไปมากน้อยแค่ไหน

 

บทสรุปส่งท้าย

การตัดสินใจขึ้นภาษีครั้งนี้ของทรัมป์เป็นการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้านำเข้ามูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ และจุดชนวนสงครามการค้าโลกได้เลยค่ะ

แม้ทีมเศรษฐกิจของทรัมป์จะมองว่านี่คือยาขมที่ต้องกลืนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ผลกระทบทางลบในระยะสั้น เช่น ราคาสินค้าแพงขึ้น อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าผลดี ซึ่งเป็นความท้าทายทางการเมืองอย่างยิ่งสำหรับทรัมป์เอง ท่ามกลางความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เปราะบางอยู่แล้ว

การออกมาพูดของรัฐมนตรีคลัง Scott Bessent ก็ยิ่งตอกย้ำท่าทีแข็งกร้าวและพร้อมจะรอดูสถานการณ์ต่อไป

ในฐานะนักลงทุน สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำความเข้าใจมุมมองที่หลากหลาย ทั้งจากนักวิเคราะห์และจากฝั่งรัฐบาลเอง และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เท่าทันความผันผวนนะคะ

 

ไม่ต้องรีบ buy the dip ให้รอฝุ่นหายตลบก่อนค่ะ

ปล. อัตราภาษีของแต่ละประเทศดูได้ในรูปนะคะ

 

 

ที่มา.. Facebook Beauty Investor

 


ม้าสีหมอก