5 หุ้นโรงไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย
กำลังจะกวาดกำไรโตโดเด่นในปี 66

.
หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงจากนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็ได้ประกาศผลประกอบการประจำปี 2565 ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นทีมข่าว Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาส่องแนวโน้มการเติบโตในปี 2566 กับ 6 หุ้นโรงไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย กันว่า จะมีความน่าสนใจแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบให้นักลงทุนแล้ว
.
GULF กำไรปีนี้โตเด่น
มาเริ่มกันที่ GULF โดยมุมมองนักวิเคราะห์บล. เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท เบื้องต้น คาดกำไรปกติปี 2566 ไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 45.2% เนื่องรับรู้โครงการ GSRC phase 3-4 กำลังการผลิตรวม 1.3 พันเมกะวัตต์ ได้เต็มที่ทั้งปี และโครงการ GPD phase 1-2 และโครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตรวม 1.9 พันเมกะวัตต์ ที่จะทยอย COD และรับรู้เข้ามาในปี 2566
.
นอกจากนี้คาดกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP (สัดส่วนขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 10-15% ของรายได้จากการขายไฟฟ้าโดยรวม) จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากแนวโน้มต้นทุนก๊าซฯ ที่คาดจะเริ่มปรับตัวลดลง
.
สำหรับทิศทางกำไรปกติไตรมาส 1/66 คาดยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากไตรมาสก่อน โดยคาดจะมีแรงหนุนจากการรับรู้โครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา 588 เมกะวัตต์ ที่คาดจะดำเนินการซื้อกิจการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/66 รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะฟื้นตัวจากทิศทางราคาก๊าซฯที่คาดจะปรับตัวลดลงและการรับรู้การปรับขึ้นค่า Ft ขึ้นอีก 61.5 สตางค์/หน่วย ในช่วง ม.ค.-เม.ย. 2566
.
อย่างไรก็ตามจะมีปัจจัยกดดันจากโครงการ BRK2 ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 25% จากเดิม 50% และคาดจะส่วนแบ่งกำไร GULF GUNKUL (GGC) คาดจะผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงหลังจากผ่านพ้นช่วง High season ของลมมาแล้วในไตรมาส 4/65
.
GPSC กำไรพุ่ง 538%
ถัดมา GPSC นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า คงมุมมองว่าผลประกอบการปี 2566 จะเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ คงประมาณการกำไรสุทธิที่ 5.7 พันล้านบาท เติบโต 538%จากปีก่อน และคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 82.00 บาท
.
โดยมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจปี 2566 ของผู้บริหาร 1.สถานการณ์ราคาพลังงานคลี่คลาย 2.เห็นการปรับค่าไฟฟ้าชดเชยต้นทุน 3.เสถียรภาพการผลิตดีขึ้นหลังผ่านการ Overhaul ช่วงต้นปี ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขายไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 10%จากปีก่อน ไอน้ำ เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน 4.รับรู้กำลังผลิตใหม่จากโครงการระหว่างก่อสร้าง 350 เมกะวัตต์ และ 5.Upside จากการประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ, การขยายตัวของ Avaada, GRP Platform, Battery
.
BGRIM ราคาก๊าซฯลดลง
BGRIM นักวิเคราะห์บล. เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 48 บาท โดยคาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 236.9%จากปีก่อน จากคาดการณ์ราคาก๊าซฯจะเริ่มปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันในระยะยาว และค่า Ft เฉลี่ยทั้งปีที่คาดยังอยู่สูงกว่าปี 2565
.
สำหรับทิศทางกำไปกติในไตรมาส 1/66 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หนุนหลักจากการรับรู้การประกาศปรับขึ้นค่า Ft อีก 61.5 สตางค์/หน่วยมาอยู่ที่ 1.55 บาท/หน่วย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) โดยรวมคาดจะปรับตัวดีขึ้น รวมถึงปริมาณขายไฟฟ้าที่คาดจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้คาดค่าใช้จ่าย SG&A จะปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติ
.
RATCH มีความพร้อมทางการเงิน
RATCH บล. ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 47 บาท โดยประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 7.8 พันล้านบาท เติบโต 46% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุน คือ โครงการ Paiton (736 เมกะวัตต์) ที่คาดว่าจะปิดดีลแล้วเสร็จในครึ่งแรกปี 66 และการทยอยเปิดดำเนินการของโครงการ NEJV 1.5 GWe (เปิดดำเนินการแล้ว 0.4GWe)
.
สำหรับราคาหุ้นเคลื่อนไหวใกล้เคียงตลาดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คาดมาจากผลประกอบการไตรมาส 4/65 ที่คอยกดดัน เชื่อว่าหลังจากนี้มีโอกาสกลับมา outperform ได้จากการกลับมาให้น้ำหนักความแข็งแกร่งทางการเงินหลังการเพิ่มทุนคาดทำให้มีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 5-7 หมื่นล้าน มีความพร้อมทางการเงินสำหรับการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในระยะยาว และเป็น catalyst ให้หุ้นในระยะต่อไป
.
EGCO งบดุลที่แข็งแกร่ง
สุดท้าย EGCO นักวิเคราะห์บล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 247 บาท โดย EGCO มีงบดุลที่แข็งแกร่งด้วยสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ 0.53 เท่า ณ สิ้นปี 2566 ซึ่งทำให้ยังสามารถเพิ่มหนี้สินสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคตจนกว่าจะถึงนโยบายภายในที่กำหนดไว้ที่ 1.5 เท่า พอร์ตโรงไฟฟ้าของ EGCO ยังมีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และมีแหล่งเชื้อเพลิงที่หลากหลายที่คาดจะช่วยหนุนการขยายธุรกิจในอนาคต
.
ทั้งนี้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-67 ขึ้น 7% และ15% ทำให้ปี 2566 คาดมีกำไรสุทธิ 12,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 373% จากปีก่อน เนื่องจากปรับประมาณการรายการหลัก ได้แก่ 1.ปรับลดประมาณการอัตรา Fx (เงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) สิ้นปี 2566-67 ลง 6% และ 6%
.
2.ปรับลดประมาณการอัตรา Fx (เงินบาท/ดอลลาร์ออสเตรเลีย) เฉลี่ยปี 2566-67 ลง 11% และ12% 3.ปรับลดประมาณการราคาก๊าซ IPP ปี 2566-67 ลง 16% และ12% 4.ปรับเพิ่มประมาณการราคาถ่านหินนิวคาสเซิลปี 2566-67 ขึ้น 30% และ30% และ 5.ปรับประมาณการรายการที่ไม่ใช่รายการหลักอื่น ๆ ในปี 2566-67




