จับตา ‘เนสกาแฟ’ ขาดตลาด ‘เนสท์เล่’ เร่งแก้ปัญหา ร้านค้าโอดยอดหาย
ร้านค้าหวั่น "เนสกาแฟขาดตลาด" หลังควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส ร้องศาลคุ้มครองชั่วคราว ห้าม "เนสท์เล่" ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้า Nescafé ในประเทศไทย

ประเด็นใหญ่ที่น่าจับตาสำหรับตลาดกาแฟ คือ ข้อพิพาทระหว่าง “เนสท์เล่” กับ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) อดีตผู้ผลิตกาแฟ “เนสกาแฟ” ภายใต้ตระกูล “มหากิจศิริ”
เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ถึงเมษายน ปี พ.ศ.2568 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่ และกรรมการ จำนวน 2 คดี และต่อมาศาลแพ่งมีนบุรีได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในแต่ละคดี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2568 ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว “ห้ามมิให้เนสท์เล่” ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบในมิติธุรกิจของ “ยักษ์ใหญ่อาหารระดับโลก” และอดีตพันธมิตรทุนไทยของตระกูล “มหากิจศิริ” ซึ่งถือมีภาพ “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” เป็นที่รับรู้ในตลาด และผู้บริโภคชาวไทยด้วย
อีกผลกระทบคือ “เนสกาแฟจะขาดตลาด” หลังศาลมีคำสั่งห้ามให้เนสท์เล่ ผลิต ว่าจ้างผลิต และจำหน่าย ตลอดจนการนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟ โดยใช้แบรนด์ “ Nescafé” ในประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ ร้านค้าที่เป็นช่องทางจำหน่ายต่างๆ ทั้งห้างค้าปลีก ร้านยี่ปั๊วซาปั๊ว แม้กระทั่งร้านรถเข็น ไม่พ้นโดมิโนในครั้งนี้
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการร้านค้าได้รวมตัวกันเพื่อทำหนังสือเกี่ยวกับผลกระทบ และความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่มีผลิตภัณฑ์จำหน่าย เพื่อส่งให้เนสท์เล่นำไปยื่นต่อศาล
ทั้งนี้ จากกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น เพียงแค่ 3 วันที่ไม่มีสินค้าเนสกาแฟจำหน่าย ถือว่าเสียหายมหาศาล เนื่องจากเนสกาแฟ เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในหมวดทรีอินวัน(3in1) กาแฟปรุงสำเร็จ และพฤติกรรมผู้บริโภคมีความคุ้นชินกับรสชาติ รวมถึงแบรนด์อย่างมาก
“สินค้าขาดเพียง 3 วัน ก็เสียหายมหาศาลแล้ว และปกติเนสท์เล่ จะต้องส่งสินค้ากาแฟเนสกาแฟให้กับทางร้านทุกๆ ต้นเดือน เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภค”
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่เกิดขึ้น หน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงพาณิชย์ยังให้คำยืนยันว่าสินค้าจะไม่ขาดตลาด
“จากกรณีที่เกิดขึ้น ยังไง้..ยังไง กาแฟก็ขาดตลาด ในมิติของคำสั่งศาล เราไม่ก้าวล่วง”
สำหรับตั้งงี่สุน มีการจำหน่ายเนสกาแฟจำนวนมาก แต่ละปีสร้างยอดขายระดับ 300-400 ล้านบาท อีกด้านยอมรับว่าหากสินค้าขาดตลาด ผู้บริโภคจะหันไปซื้อสินค้าแบรนด์อื่น หรือคู่แข่งแทน แต่พฤติกรรมผู้บริโภคเลือกดื่มกาแฟ จะเน้นความคุ้นชินในรสชาติเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ห้วงเวลานี้ หากไม่มีเนสกาแฟจำหน่าย แต่ร้านตั้งงี่สุน ยังมีสินค้าในสต๊อก มีความกังวลร้านค้าจากจังหวัดใกล้เคียงจะแห่มาซื้อสินค้าไปตุนไว้ ซึ่งบริษัทต้องจัดสรรให้เหมาะสม
“นึกภาพเวลาเกิดน้ำท่วม หรือเหตุการณ์ต่างๆ แล้วคนมาแย่งกันซื้อสินค้า จะเป็นแบบนั้น”
สำหรับ “เนสท์เล่” เป็นบริษัทผลิตอาหารระดับโลก และดำเนินธุรกิจในไทยยาวนานกว่า 130 ปี ได้ออกแถลงการณ์ดังนี้..
เนสท์เล่ ห่วงใยผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกรไทย และคู่ค้าซัพพลายเออร์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า
ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราว ในการห้ามผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย
เนสท์เล่ ได้แจ้งยุติสัญญาที่ให้สิทธิ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ในการผลิตเนสกาแฟในปี พ.ศ.2564 ซึ่งการยุติสัญญามีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายโดยคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยมีผลเป็นการเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567
ภายหลังจากนั้น นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัท QCP ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย โดยที่เนสท์เล่ยังไม่มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าว แต่เนสท์เล่ก็ให้ความเคารพต่อกฎหมาย และได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฉบับนี้ ทั้งนี้ เนสท์เล่ กำลังดำเนินการยื่นคัดค้านต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรี
เนสท์เล่ เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ.2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ได้ผลิตในประเทศไทยผ่านบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่ และตระกูลมหากิจศิริ ซึ่งมีคุณประยุทธ มหากิจศิริ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น ภายใต้สัญญาการร่วมทุนนี้ เนสท์เล่ มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟนั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่
ภายหลังการยุติสัญญา ผู้ถือหุ้นของบริษัท ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ดังนั้น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568 เนสท์เล่ เอส เอ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ซึ่งกระบวนการพิจารณาคำร้องเพื่อขอเลิกบริษัทอยู่ในการพิจารณาของศาล ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาของการยุติสัญญาจนถึงการยื่นขอยกเลิกบริษัท เนสท์เล่ ได้ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ให้ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เมษายน ปี พ.ศ.2568 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่ และกรรมการ จำนวน 2 คดี และต่อมาศาลแพ่งมีนบุรีได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในแต่ละคดี
เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2568 ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย โดยที่เนสท์เล่ยังไม่มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าว แต่เนสท์เล่ก็ให้ความเคารพต่อกฎหมาย และได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฉบับนี้ โดยเนสท์เล่ได้ออกหนังสือแจ้งลูกค้า อันได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2568 ให้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และแจ้งว่าบริษัทจะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าเหล่านี้ได้ โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้ จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบภายหลัง ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ร้านค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอยู่ในร้าน ยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ
เนสท์เล่ มีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นจากคำสั่งศาลนี้ ซึ่งจะส่งผลในการสูญเสียรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นขายกาแฟที่จะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่าย และการปรับเปลี่ยนสูตรการชง และวัตถุดิบที่ใช้ ยังอาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ประจำวันของผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้ อีกทั้งยังส่งผลต่อการขาดรายได้ของพนักงานของลูกค้า และคู่ค้าซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ของเนสกาแฟที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่างๆ ให้กับเนสกาแฟแต่ต้องหยุดชะงักลง
รวมไปถึงเกษตรกรไทยผู้เพาะปลูกกาแฟ และเกษตรกรโคนมไทย จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบให้เนสกาแฟ เนื่องจากคำสั่งศาลห้ามผลิต และว่าจ้างผลิต เนสกาแฟในประเทศไทย ในทุกๆ ปี เนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดที่ปลูกได้ประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้บริโภคจำนวนหลายล้านคนในประเทศไทย และผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่ม
เนสท์เล่ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อการพิจารณาคำร้อง
ทั้งนี้ เนสท์เล่ มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างยั่งยืน เนสท์เล่จำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยมานานกว่า 130 ปีแล้ว และได้ลงทุนกว่า 22,800 ล้านบาทในประเทศไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2561-2567 โดยเนสท์เล่ยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และคู่ค้าของเรา
สำหรับ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 ภายใต้ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท มีกรรมการหลายราย เช่น นายประยุทธ มหากิจศิริ นางสุวิมล มหากิจศิริ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ นางสาวอุษณา มหากิจศิริ เป็นต้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ปี 2565 บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส มีรายได้รวมกว่า 1.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.28% และมี “กำไรสุทธิ” กว่า 3,067 ล้านบาท ลดลง 9.84% ส่วนปี 2565 มีรายได้กว่า 1.71 หมื่นล้านบาท เติบโต 10.69% และมี “กำไรสุทธิ” กว่า 3,400 ล้านบาท ลดลง 8.14%
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1175224?