การลดดอกเบี้ยยังไม่ช่วยตลาดในช่วงนี้
มุมมองต่อตลาด: กนง. สร้าง Surprise ให้กับตลาด โดยลดดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม SET ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย และยังไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1680 จุด (มองการรีบาวด์ถูกจำกัดบริเวณ 1680-1690 จุด) หลังจากนั้นปรับตัวลงจากแรงขายในกลุ่มแบงก์ ขณะที่ปัจจัยกดดันหลัก ยังมาจากสงครามการค้าที่กลับมาปะทุอีกครั้ง และ fund flow ไหลออก ส่งผลให้คาดว่าการฟื้นตัวของ SET ยังจำกัด และปรับลงได้ต่อ ซึ่งหากต่ำกว่า 1650 จุด จะเป็นสัญญาณลบ ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยส่งผลให้ Earnings Yield Gap ปรับตัวขึ้นอีก ซึ่งเป็นผลดีด้านมูลค่าของ SET แต่สงครามการค้ายังกดดันให้ SET มีโอกาสลงไป 1600 จุด ซึ่งบริเวณนี้ เรามองจะเป็นจุดที่เริ่มมีเม็ดเงินไหลกลับสู่ตลาดหุ้นอีกครั้งด้วยมูลค่าที่น่าสนใจ
กลยุทธ์การลงทุน: ยังเน้นลดพอร์ตในช่วงนี้ (รอซื้อกลับที่ 1600 จุดลงไป) ส่วนจะซื้อในช่วงนี้ใช้การ Selective Buy ในหุ้นสินเชื่อเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง ซึ่งได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย และราคายังปรับขึ้นไม่มาก AEONTS และ KKP หุ้นที่มี Valuation ถูก Upside เปิดกว้าง ขณะที่มี Downside Risk ต่ำ ซึ่งแนะนำ MCS และ RJH หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปันผลสูงเพื่อเป็นหลุมหลบภัยอย่าง DIF และ JASIF หุ้นแนะนำประจำวัน ได้แก่ AEONTS และ KKP
ประเด็นหลัก
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทรงตัว DJIA -0.09%, S&P500 +0.08%, Nasdaq +0.38% ทุกตลาดฟื้นตัวขึ้นหลังจากติดลบไปกว่า 2% โดย DJIA ยังสามารถปิดยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วันได้ ขณะที่ Bond Yield 10 ปีสหรัฐลงไปทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2559 ที่ 1.6% ด้านราคาทองคำขึ้นเหนือ 1500 เหรียญทำจุดสูงสุดในรอบ 6 ปี ตรงข้ามราคาน้ำมันร่วงแรง, VIX Index ปิด -3.37%, MSCI Emerging Market ETF ปิด +0.45%, MSCI Thailand ETF ปิด -0.15%
สหรัฐเตรียมแบนบริษัทเทคโนโลยีของจีนรอบใหม่ โดยสั่งห้ามไม่ให้หน่วยงานของภาครัฐซื้ออุปกรณ์สื่อสารจาก 5 บริษัทในจีน ประกอบด้วย Huawei, ZTE, Hikvision, Hytera และ Dahua ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 ส.ค. ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวถือเป็นข้อห้ามเพิ่มเติมจากเดิมที่ห้ามภาคเอกชนทำธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีในจีน สร้างแรงกดดันต่อการเจรจาการค้ารอบใหม่
ราคาน้ำมันร่วงแรงทำจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ปัจจัยกดดันจากฝั่ง Supply หลังจาก EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สวนทางที่คาดว่าจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีราว 2% นอกจากนี้สต็อกน้ำมันเบนซินยังเพิ่มขึ้นถึง 4.4 ล้านบาร์เรล ทำระดับสูงสุดในปีนี้ ขณะที่กำลังการผลิตสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ 12.27 ล้านบาร์เรล ขณะที่ฝั่ง Demand ถูกกดดันจากประเด็นสงครามการค้า และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ธนาคารกลางอินเดีย และนิวซีแลนด์ พร้อมใจกันลดดอกเบี้ยลง โดยธนาคารกลางอินเดียลดดอกเบี้ยลง 0.35% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 5.40% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2553 ทางด้านธนาคารกลางนิวซีแลนด์ลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 0.5% มาอยู่ที่ 1% โดยให้เหตุผลในทิศทางเดียวกัน คือ เงินเฟ้อต่ำ และความเสี่ยงสงครามการค้า ซึ่งทางด้านปธน.ทรัมป์ ได้ออกมา tweet ว่าปัญหาในขณะนี้ไม่ใช่จีน แต่ปัญหาอยู่ที่การดื้อดึงของ Fed ทั้งยังเร่งให้ลดดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่านี้ และให้ยุติการใช้มาตรการการเงินตึงตัวโดยเร็วที่สุด
เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง ที่สุดแล้ว กนง.ต้านทานกระแสดอกเบี้ยขาลงไม่ไหว ประกาศลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมีมติ 5:2 ให้ลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.5% โดยมองเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าคาด และเงินบาทแข็งค่ากระทบการส่งออก ทั้งนี้ เราประเมินถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ หุ้นธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง (TCAP, TISCO, KKP) สินเชื่อบุคคล (AEONTS) และหุ้น High Dividend Yield คือ JASIF และ DIF ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์ต่อมา หากเงินบาทอ่อนค่า จะเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ ได้แก่ หุ้นท่องเที่ยว-โรงแรม (MINT, ERW, AOT) และส่งออกอาหาร (GFPT, TU)
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยติดต่อกันเป็นวันที่ 6 โดยขายสุทธิใน SET 3.6 พันลบ. (117 ล้านเหรียญ) และ Short สุทธิ SET50 Futures 624 สัญญา เช่นเดียวกับภูมิภาคที่ขายสุทธิทุกประเทศ โดยขายสุทธิในไต้หวันมากถึง 507 ล้านเหรียญ ตามด้วยเกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขายสุทธิ 20, 15, และ 7 ล้านเหรียญ ตามลำดับ
หุ้นแนะนำประจำวัน ได้แก่ AEONTS (รับ 230.00 ต้าน 244.00 cut 220.00) และ KKP (รับ 73.00 ต้าน 76.75 cut 71.25)
บทวิเคราะห์วันนี้
LPN – 2Q62: กำไรแย่ ปรับเป้าทุกอย่างลดลง
PTTGC – 2Q62: ได้รับผลกระทบจากธุรกิจอะโรเมติกส์ที่อ่อนแอ
THRE – 2Q62: กำไรต่ำกว่าคาด เพราะ combined ratio เพิ่มขึ้น
THREL – 2Q62: กำไรต่ำกว่าคาด
TU – ตั้งเป้าโมเมนตัมการเติบโตเป็นบวกใน 2H62