เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประธานาธิบดี Donald Trump มีนโยบาย America First, Protectionism, ส่งเสริม Fossil Fuel และ การเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate เพราะฉะนั้น ผู้โพสต์ขอแสดงความคิดเห็นของผลกระทบจากนโยบายของ ประธานาธิบดี Donald Trump ใน 5 กรณีคือ :
1) สงความการค้า : จากการที่สหรัฐอเมริกายังขาดดุลการค้ากับจีนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้วคือปี พ.ศ 2560 ที่ 375,000 ล้าน USD ซึ่งเป็นสัดส่วนถึง 66% ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มทําสงครามการค้าตั้งแต่ต้นปีนี้คือปี พ.ศ 2561โดยการตั้งกําแพงภาษี และ เน้นไปที่ประเทศจีนเป็นหลัก และ จีนก็ตั้งกําแพงภาษีเป็นการตอบโต้สหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกันจนกลายเป็นสงครามการค้า และ จะเริ่มต้นกันยกแรกในวันพรุ่งนี้คือ วันที่ 6 กรกฎาคม ปี พ.ศ 2561 โดยมีมูลค่า 34,000 ล้าน USD และท้ายที่สุด กําแพงภาษีของสหรัฐต่อจีนอาจมีมูลค่าสูงถึง 450,000 ล้าน USD หรือ เกือบเท่ามูลค่าสินค้าที่สหรัฐนําเข้าจากจีนต่อปีในปัจจุบัน ผู้โพสต์คาดว่าสงครามการค้าน่าจะยืดเยื้อออกไปอีกไปอย่างน้อยก็ 2 -3 ปี และ สุดท้ายผู้โพสต์ก็เชื่อว่าประธานาธิบดี Donald Trump น่าจะทําได้สําเร็จ คือ ลดการขาดดุลการค้ากับจีนและประเทศคู่ค้าอื่นๆลงได้ในอนาคต
2) สงครามการเงิน : จาการที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี พ.ศ 2558 จาก 0.25% มาอยู่ที่ 2.00% ในปัจจุบันนั้น และ ตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2.50% ในช่วงปลายปีนี้คือปี พ.ศ 2561 แสดงว่านโยบายของประธานาธิบดี Donald Trump ที่เร่งที่จะให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate นั้นได้ผลไปส่วนหนึ่งแล้ว และ น่าจะได้ผลต่อไปในอนาคตอีก 2 - 3 ปี ซึ่งทําให้เงินทุนไหลออกจากประเทศต่างๆทั่วโลก เข้าไปยังสหรัฐอเมริการวมทั้งประเทศไทยด้วย และ สะท้อนออกมาจาก การขายหุ้นของต่างชาติ สุดท้ายผู้โพสต์ก็เชื่อว่าประธานาธิบดีDonald Trump น่าจะทําได้สําเร็จเช่นเดียวกัน คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 4.25% ในปี พ.ศ 2564 และ เมื่อถึงตอนนั้นเงินทุนส่วนใหญ่ของทั้งโลกก็ไหลเข้าไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาแล้ว
3) ค่าเงินของประเทศต่างๆ เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ : เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นผลจากการปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate ก็จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินในสกุลอื่นๆ และ แนวโน้มดังกล่าวข้างต้นก็น่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีก 2 – 3 ปี
4) ราคานํ้ามัน : ราคานํ้ามันได้ปรับตัวขึ้นมาจาก 26 USD Barrel เมื่อเดือนมกราคม ปี พ.ศ 2559 มาทําจุดสูงสุดที่เกือบ 80 USD Per Barrel เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ 2561 ที่ผ่านมานี่เอง และ ผู้โพสต์คาดว่าในอนาคตอีก 2 - 3 ปีข้างหน้า ราคานํ้ามันน่าจะระดับราคาที่ไม่ตํ่าและไม่สูงเกินไปเหมือนเมื่อก่อน เพราะ เศรษฐกิจโลกได้ผ่านพ้นจุดตํ่าสุดไปแล้วในต้นปี พ.ศ 2559 และ อยู่ในช่วงเศรษฐกิจโลกขาขึ้น และในขณะเดียวกันก็มี Shale Oil Shale Gas และ Renewavle Energy มาคอยปรับสภาพสมดุลของราคานํ้ามันไม่ให้มีระดับสูงเกินไปเหมือนเมื่อก่อน
5) กลยุทธการลงทุน : จากเหตุผลข้างต้น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จึงเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนเนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท เป็นโครงการที่เกิดในประเทศไทย และ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศไทยตามที่กล่าวมาข้างต้นใดๆทั้งสี้น สําหรับช่วงเวลาการลงทุนก็น่าจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2561 ถึง ครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 โดยใช้ระยะเวลาการลงทุนประมาณ 2 ปี เพราะ การเลือกตั้งทั่วไปของไทยน่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 ซึ่งรัฐบาลก็น่าจะเร่งประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ และ รัฐบาลหลังจากการเลือกตั้งทั่วไป ก็น่าจะดําเนินนโยบายโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท อย่างต่อเนื่อง เพราะ เป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยรวม และ เมื่อถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 ขาขึ้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็น่าจะสิ้นสุดลง เพราะ 80% ของทั้งโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท ก็น่าจะได้มีการประมูลและรู้ผลแล้ว
หมายเหตุ : 1) มูลค่าการส่งออกของสหรัฐไปจีนมีจํานวนทั้งสิ้น 130,400 ล้าน USD ในขณะเดียวกันกับมูลค่าการนําเข้าจากจีนมาสหรัฐอเมริกามีจํานวนทั้งสิ้น 505,600 ล้าน USD ทําให้สหรัฐขาดดุลการค้าจีน 375,000 ล้าน USD ในปี ค.ศ 2017 ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com
3) ผู้โพสต์ขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ผู้โพสต์ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาที่จะชักชวน ชี้นํา หรือ ชี้เป้าให้ท่านนักลงทุนที่เข้ามาดู เข้ามาอ่าน หรือ เข้ามา View มาลงทุนหรือไม่ลงทุนตามแนวทางที่ผู้โพสต์ได้นําเสนอไป และ จะนําเสนอต่อไปในอนาคต และ จะไม่รับประกันผลตอบแทน ตลอดจนจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นในกรณีที่มีการนําข้อมูล หรือ ความเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ไปใช้แล้วเกิดความเสียหายขึ้น ผู้โพสต์หวังแต่เพียงว่าข้อมูล และ ความคิดเห็นส่วนตัวดังกล่าวข้างต้นของผู้โพสต์ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านนักลงทุนที่เข้ามาดู และ เข้ามา View บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเข้าลงทุน หรือ ไม่ลงทุน