หุ้นกลุ่มโรงแรมของไทย
กำลังเข้าสู่การเติบโตรอบใหม่

.
นักท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างโดดเด่นต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสของหุ้นในกลุ่มโรงแรม ที่จะกลับมาสร้างการเติบโตอีกครั้ง ล่าสุดนักวิเคราะห์ออกมาทำนายอีกด้วยว่า กลุ่มธุรกิจโรงแรมของไทยกำลังเข้าสู่วงจรการเติบโต ดังนั้นคอลัมน์ “โพยหุ้น” ประจำวันจันทร์ จะพานักลงทุนมาสำรวจความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้กัน
.
หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มองว่ากลุ่มธุรกิจโรงแรมของไทยกำลังเข้าสู่วงจรการเติบโตเชิงโครงสร้างรอบใหม่ หลังคาดว่ากำไรจะเกินระดับปี 62 ในปีหน้า และคาดว่า EPS จะเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ 17% ในปี 68-70 โดยได้แรงหนุนจากจำนวนผู้มาใช้บริการและราคาที่สูงขึ้น อีกทั้งฐานะการเงินยังดีขึ้นด้วย จึงคงน้ำหนักลงทุนเป็น “OVERWEIGHT” และ ERW ยังคงเป็น Top Pick
.
ทั้งนี้คงน้ำหนักลงทุนกลุ่มโรงแรมไทยเป็น “OVERWEIGHT” เนื่องจาก เห็นว่าการฟื้นตัวของกำไรของกลุ่มธุรกิจนั้นแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ARR) ที่สูงกว่าที่คาดไว้ และผลประโยชน์จาก leverage จึงปรับกำไรขึ้น 6-9% ในปี 66-68
.
รวมทั้งหลังจากที่กำไรดีดตัวขึ้นจนเกินระดับก่อนเกิดโควิดในปี 67 คาดว่ากลุ่มฯ จะเข้าสู่การเติบโตของกำไรรอบใหม่ด้วย EPS เติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ 17% ในปี 68-70 ขณะที่ฐานะการเงินของบริษัทฯ ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ 0.95 เท่า ในปี 66 นั้นแข็งแกร่งกว่าระดับ 1.1 เท่า ในปี 62 และด้วยรอบการเติบโตใหม่และฐานะการเงินที่ดีขึ้น จึงมองว่ากลุ่มโรงแรมสมควรซื้อขายที่ PE ที่สูงที่ 31.7 เท่า ในปี 67
.
นอกจากนี้เห็นโครงสร้างใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย หลังไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคม 65 นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เพิ่มขึ้นดี ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนธันวาคม 65 แตะระดับ 57% ของปี 62 (แม้นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งคิดเป็น 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มาเที่ยวไทยในปี 62 จะยังไม่กลับมา)
.
โดยได้แรงหนุนจากชาวตะวันออกกลาง (96%) โอเชียเนีย (86%) เอเชียใต้ (78%) อาเซียน (77%) ยุโรป (69%) และอเมริกา (67%) หลังจากที่จีนกลับมาเปิดประเทศในเดือนมกราคม 66 นักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นยังแข็งแกร่ง จึงคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวเป็น 28/40/46 ล้านคน ในปี 66-68 จาก 11 ล้านคน ในปี 65
.
ขณะที่ในช่วงก่อนโควิด พบว่า ARR ของโรงแรมไทยต่ำกว่าคู่แข่ง เนื่องจากผลกระทบของความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย จากข้อมูลดัชนีราคาโรงแรมและร้านอาหารของ The Global Economy ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 149 ในตลาดโลกและอันดับ 7 ของอาเซียนในปี 60 อัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการเดินทางที่พุ่งสูงขึ้นหลังวิกฤตโควิด ส่งผลให้ ARR ของโรงแรมไทยเพิ่มขึ้นสู่ฐานใหม่และแซงหน้าระดับก่อนเกิดโควิด คาดว่า ARR จะเติบโต 20% ในปีนี้ ก่อนจะกลับมาเติบโตที่ 3% ในปี 67-68
.
ERW ยังคงเป็น Top Pick
โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ทั้ง 3 โรงแรมที่ทำบทวิเคราะห์ แต่ยังคงเลือก ERW เป็น Top Pick รองลงมาคือ MINT และ CENTEL ซึ่งมองว่า ERW ได้ประโยชน์สูงสุดจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน การซื้อขายที่ 32.4 เท่า ในปี 67 เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนโควิดที่ 37.6 เท่า นั้นไม่แพงเช่นกัน
.
สำหรับบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกัน คงคำแนะนำ “ซื้อ” ERW โดยมีราคาเป้าหมายสูงขึ้นเป็น 6.10 บาท คาดว่ากำไรในปีนี้จะสูงกว่าระดับในปี 62 และมี EPS เติบโตแข็งแกร่งเฉลี่ย 3 ปีที่ 30% ในปี 67-69 โดย ERW ดำเนินเฉพาะธุรกิจโรงแรม และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มฯ เนื่องจากอัตราการเข้าพัก อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ARR) และผลประโยชน์จาก operating และ financial leverage ที่แข็งแกร่งกว่าคาด จึงปรับกำไรปกติของ ERW ขึ้น 56% ในปี 66 ตามด้วย 3% ในปี 67 และอีก 3% ในปี 68 ราคาเป้าหมาย (ปีฐาน 66) ปรับขึ้นเป็น 6.10 บาท (จาก 5.50 บาท) ไม่เห็นความเสี่ยงด้านงบดุลอีกต่อไปอีกด้วย
.
ส่วน MINT ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 40 บาท (จาก 36.0 บาท) เนื่องจากเป็นหุ้นที่ยังขยับขึ้นช้าในกลุ่มโรงแรมไทย แม้ MINT จะมีธุรกิจในในไทยน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ยังคงมองว่ากำไรของบริษัทฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ที่ EPS ที่เติบโต 512%ในปี 66 และ 49% ในปี 67 มองว่า MINT ไม่แพงที่ 46.4 เท่า และ31.2 เท่า PE
.
สำหรับการฟื้นตัวของ MINT เกิดขึ้นในทุกประเภทธุรกิจ ได้แก่ โรงแรม และอาหาร และในทุกภูมิภาค ได้แก่ ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย จีน มัลดีฟส์ และไทย RevPar ของธุรกิจโรงแรมในช่วง 2 เดือนแรกปี 66 ในทุกภูมิภาคทะลุระดับก่อนเกิดโควิด การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของธุรกิจอาหารในประเทศไทย ออสเตรเลีย และจีน กลับมาเป็นบวกในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 66 ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับธุรกิจอาหารในจีนที่ SSSG กลับมาเป็นบวกหลังจากลดลงติดต่อกัน 6 ไตรมาส ในไตรมาส 3/64-4/65
.
ขณะที่คาดว่ากำไรในปี 66 จะอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท ปี 67 ที่ 7.7 พันล้านบาท และปี 68 ที่ 9.5 พันล้านบาท ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการพลิกฟื้นของธุรกิจโรงแรมและอาหารในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยและธุรกิจอาหารในจีน
.
สุดท้าย CENTEL ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 64 บาท (จาก 59 บาท) โดยบริษัทอยู่ในช่วงกลางของวงจรการฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 66-68 โดยปี 66 คาด 1.7 พันล้านบาท ปี 67 คาด 2.4 พันล้านบาท และปี 68 คาด 2.8 พันล้านบาท นอกจากนี้ CENTEL พ้นวิกฤตโควิดด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.6 เท่า เราไม่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากนักจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น