งานเข้า! เปิดโผ 9 ชาติเอเชียใน "บัญชีดำ" ทรัมป์ ล็อกเป้ากำแพงภาษีรอบใหม่!

มาอัปเดตเรื่องที่อาจจะกระทบเศรษฐกิจเอเชียและแน่นอนว่ารวมถึงบ้านเราด้วย นั่นคือ นโยบายภาษีแบบตอบโต้ ค่ะ ซึ่งจะเป็นนโยบายที่ท้าทายโมเดลเศรษฐกิจของเอเชียที่เน้นการส่งออกไปสหรัฐฯ มานานหลายสิบปีเลยทีเดียวค่ะ
“ภาษีตอบโต้" คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะคะ
หลักการของทรัมป์คือ ถ้าประเทศไหนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูง หรือ มี "ดุลการค้าเกินดุล" (Trade Surplus) กับสหรัฐฯ เยอะๆ (หมายถึง ขายของให้สหรัฐฯ มากกว่าซื้อของจากสหรัฐฯ เยอะ) สหรัฐฯ ก็จะตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากประเทศนั้นๆ เช่นกันค่ะ เหมือนเป็นการเอาคืนแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ทางการค้านั่นเอง
เอเชียโดนเต็มๆ?
รอบนี้ ทรัมป์ไม่ได้เล็งแค่จีนเหมือนรอบก่อนนะคะ แต่มีการพูดถึง เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ด้วยว่าเป็นประเทศที่อาจจะเข้าข่ายต้องโดนภาษีตอบโต้
มีข้อมูลจากทีมงานของทรัมป์ (คุณ Scott Bessent รัฐมนตรีคลัง) บอกว่าอาจจะมีการประกาศใช้ภาษีนี้กับกลุ่ม "Dirty 15" หรือ 15 ประเทศเป้าหมาย ที่มีการค้าและกำแพงภาษีกับสหรัฐฯ ในระดับสูง ซึ่งจะเริ่มใช้ในวันที่ 2 เมษายน แม้จะไม่ได้ระบุชื่อประเทศชัดๆ แต่ Bloomberg Economics วิเคราะห์ว่า ใน 15 ประเทศนี้ มีถึง 9 ประเทศอยู่ในเอเชีย
ซึ่งประเทศเหล่านี้รวมกันแล้วเป็นสาเหตุของการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ถึง 3 ใน 4 ส่วนเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้น นโยบายนี้ดูเหมือนจะกระทบเศรษฐกิจเอเชียที่มีมูลค่ารวมกว่า 41 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นพิเศษค่ะ
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ:
* จีน: โดนภาษีเพิ่มไปแล้ว 20% ตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่ง
* เหล็ก: ภาษี 25% กระทบผู้ผลิตในเอเชียแน่นอน เพราะใน 10 ประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ มากที่สุด มีถึง 6 ประเทศอยู่ในเอเชีย
* รถยนต์: ภาษี 25% ที่เพิ่งประกาศไป ก็จะกระทบกำไรของค่ายรถยนต์อย่าง Hyundai (เกาหลีใต้) และ Toyota (ญี่ปุ่น) แน่นอน
ที่น่ากังวลคือ ทรัมป์ดูไม่ค่อยสนใจว่าประเทศไหนเป็นพันธมิตร และดูพร้อมจะยอมรับผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อผลักดันนโยบายนี้ โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่แคร์เลย" ถ้ารถยนต์ต่างชาติจะขึ้นราคาเพราะภาษีที่เขาตั้ง
กระทบโครงสร้างเศรษฐกิจเอเชีย?
ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณ Roland Rajah จาก Lowy Institute มองว่า นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาระยะสั้นเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 1998 หรือวิกฤตการเงินโลกปี 2008 นะคะ แต่มันเป็น "Structural Shock" หรือ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ที่กระทบกับ "โมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออก" (Export-oriented Development) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เอเชียร่ำรวยขึ้นมา
นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ประเมินว่า ภาษีตอบโต้นี้ บวกกับภาษีอื่นๆ ที่ประกาศไปแล้ว อาจจะ ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศในเอเชียได้ถึง 1.3% เลยทีเดียวค่ะ เพราะเอเชียพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมค่อนข้างมาก นอกจากนี้ข้อมูลจาก Morgan Stanley ก็ยังชี้อีกว่า หลังยุคโควิด ประเทศในเอเชีย (ไม่รวมจีน) ยิ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นไปอีก
เอเชียจะรับมือยังไง?
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่จะพยายาม "เล่นตามน้ำ" ไปก่อนค่ะ เช่น เดินทางไปวอชิงตันเพื่อเจรจา สัญญาว่าจะซื้อสินค้าอเมริกันมากขึ้น หรือประกาศลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มเติม อย่าง Hyundai ก็ประกาศแผนลงทุนเพิ่มถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ
คุณ Wendy Cutler จาก Asia Society Policy Institute (อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ) บอกว่า ทุกประเทศในเอเชียกำลังพยายามหาทางรับมือกับทรัมป์ แต่ส่วนใหญ่ ลังเลที่จะตอบโต้กลับ เพราะกลัวจะโดนขึ้นภาษีหนักกว่าเดิม เหมือนที่ทรัมป์เคยขู่แคนาดามาแล้ว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg Economics ก็มองเช่นเดียวกันว่า เอเชียคงเน้นการเจรจาต่อรองและหาทางลดภาษี มากกว่าจะตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
ผลกระทบอื่นๆ ที่น่ากังวล:
* การลงทุนลดลง: บริษัทต่างๆ อาจชะลอการจ้างงานและการขยายกิจการในเอเชีย
* ตลาดเงินทุนผันผวน: มีสัญญาณว่าเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (รวมถึงเอเชีย) ช่วงต้นปีอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016
* ธนาคารกลางอาจต้องลดดอกเบี้ย: เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากกำแพงภาษีได้ทั้งหมด (ตามมุมมองของ Morgan Stanley)
* สัญญาณเตือน: ข้อมูลภาคการผลิตเดือนกุมภาพันธ์ พบว่ายอดสั่งซื้อเพื่อส่งออกใหม่ลดลงในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้ารอบก่อน
ทางออกระยะยาวของเอเชีย?
ผู้นำเอเชียก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ เริ่มมีการปรับตัวเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และหันมาเน้นเศรษฐกิจในประเทศและในภูมิภาคมากขึ้น
* กระจายความเสี่ยง: ไม่ใส่ไข่ทุกใบไว้ในตะกร้าเดียว พยายามหาตลาดใหม่ๆ
* กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ: ส่งเสริมการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
* กระชับความสัมพันธ์ในเอเชีย: ส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาคมากขึ้น มีข้อตกลงการค้าเสรีใหญ่ๆ อย่าง RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตัวช่วยสำคัญ
* จีน: เน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เปิดรับบริษัทต่างชาติ และต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกอยู่บ้างเหมือนกันนะคะ คุณ Louis Kuijs จาก S&P Global Ratings มองว่า กำแพงภาษีอาจจะแค่ "บีบ" (Squeeze) ไม่ถึงกับ "บีบคอ" (Choke) การเติบโตของเอเชีย เพราะการหันมาเน้นตลาดในประเทศและในภูมิภาคอาจช่วยลดผลกระทบได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า จีนก็ไม่สามารถเข้ามาทดแทนความต้องการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ได้ทั้งหมด (เห็นได้จากตัวเลขนำเข้าสินค้าจากเอเชียของจีนที่ลดลง)
ประเด็นสุดท้ายที่น่าคิด
คุณ Inu Manak จาก Council on Foreign Relations มองว่า ผลกระทบที่อาจจะยั่งยืนที่สุด อาจไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการที่นโยบายของสหรัฐฯ บีบให้ประเทศต่างๆ ต้อง "เลือกข้าง" ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งในระยะยาว จีนอาจจะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ได้ค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อนที่ต้องติดตามกันยาวๆ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั่วโลกแน่นอน การเข้าใจสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ ไว้มีอัปเดตอะไรใหม่ๆ แอดบิวตี้จะรีบมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ!



ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก Facebook Beauty Investor