ห้องเม่าปีกเหล็ก

เอาใจสายย่อ 5 หุ้นใหญ่ก้มต่ำ กับราคาวิบวับที่น่าลงทุน

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
114 views

เอาใจสายย่อ 5 หุ้นใหญ่ก้มต่ำ กับราคาวิบวับที่น่าลงทุน

ธีมการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนคงจะมองหา และสงสัยให้ฉุกคิดว่าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดี เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับที่ตัวเองพอใจ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมากลุ่มหุ้นธีมวัคซีนที่ได้รับประโยชน์จากการมาของวัคซีนก็ปรับเพิ่มขึ้นไปรอรับข่าวกันเรียบร้อยร้อยแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรม และการท่องเที่ยว ที่ราคาหุ้นอาจจะทะยานเกินความเป็นจริง ไม่สะท้อนต่อผลประกอบการที่จะออกมา


รวมถึงในกลุ่มหุ้นแถวสองแถวสามของกลุ่มโรงแรมและกลุ่มท่องเที่ยวก็หนีไม่พ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่คงจะเข้าไปเก็งกำไรกันพอสมควรแล้ว ประกอบกับผลต่อมาของวัคซีนโควิดก็ทำให้กลุ่มหุ้นอุปโภค บริโภคในประเทศเริ่มจะฟื้นตัว เพราะการปิดห้างร้านอาหารต่างๆเริ่มคลายล็อกกันมากขึ้น จึงทำให้หุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภคก็ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปรับข่าวดีกันแล้ว


ขณะเดียวกันไม่เว้นแม้แต่ธีมหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอนุมัติให้ผู้ที่มีความพร้อมเตรียมเข้ามาขอปลูกพืชสมุนไพรอย่างกัญชงได้แล้ว จึงส่งผลให้หุ้นที่วางแผนว่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชงกระโดดขึ้นตอบรับข่าวไปแล้วทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเห็นสินค้า เช่นกลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มเครื่องสำอางและกลุ่มผู้ผลิตแบบOEM


อย่างไรก็ตามวันนี้ Wealthy Thai ยังมีกลุ่มธีมหุ้นที่หามาให้กับนักลงทุนที่เป็นแฟนเพจ ลองคิดวิเคราะห์แยกแยะ และหาข้อมูลก่อนลงทุนเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน โดยธีมหุ้นในกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ แต่ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวรวมถึงโอกาสในการเติบโตในอนาคต หรือไม่เว้นแม้กระทั่งเป็นที่อยู่นอกสายตา แต่ให้อัตราเงินปันผลในระดับ ซึ่งได้เลือกมา 5 หุ้น โดยจะมีหุ้นอะไรบ้างนั้น Wealthy Thai จะเล่าให้ฟัง


สำหรับกลุ่มหุ้นน่าสนใจได้แก่ 1. STGT หุ้นถุงมือย่างยักษ์ใหญ่ระดับโลก ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นติดลบไปกว่า 47% แต่ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยปิดความเสี่ยงต่อ downside จำกัด คือการที่มีปันผลในระดับสูง ขณะที่เบอร์ 2 อย่าง PTT เป็นหุ้นใหญ่ที่ราคาหุ้นยังร่วงจากต้นปีจนถึงปัจจุบันกว่า 5.88% หลายคนคงจะสงสัยว่าระดับหุ้นอย่าง PTT แล้วทำไมราคาหุ้นถึงไม่ขึ้นซักที ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่กองทุนทั้งไทยและต่างประเทศปรับพอร์ตลงทุนของหุ้นในกลุ่มปตท.เพราะด้วยเหตุผลที่มี OR เข้ามาในตลาด


3.BEM ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ขณะนี้หุ้นน่าจะกลับเริ่มมาอยู่ในจอเรดาร์ความสนใจของเหล่านักลงทุน เพราะด้วยการเดินทางในประเทศไทยเริ่มกลับมาเป็นปกติ คนเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิส การใช้ทางด่วน และรถไฟฟ้าจึงเพิ่มขึ้น หรือ 4. BDMS หรือโรงพยาบาลกรุงเทพฯ เป็นหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลที่ถูกนักลงทุนขายชอร์ตมากที่สุดตัวหนึ่ง เพราะขณะนี้ยังคงรอปัจจัยบวกจากผู้ป่วยต่างชาติที่จะกลับเข้าไทย เพราะหลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการฉีดวัคซีนกันไปบ้างแล้ว และ5.บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เป็นหุ้นใหญ่อีกหนึ่งตัวที่ถึงแม้จะมีข่าวผลประกอบการที่ดี และมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นยังไม่ไปไหนซักที ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นติดลบ 10.39%


เบื้องต้นได้เกริ่นกันไปบ้างแล้วถึงสาเหตุที่มาที่ไปว่าทำไมหุ้นในแต่ละตัวนั้นราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันถึงได้ปรับตัวลดลงไปขนาดนั้น ในลำดับถัดไปเราจะพานักลงทุนมาส่องแนวโน้มอนาคตกันว่าในทิศทางพื้นฐานจะเป็นอย่างไร และราคาหุ้นจะไปในทิศทางไหน



STGT เข้าสะสมเพื่อรับปันผล

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานถุงมือยางที่สุราษฏร์ธานี (SR2) ผลกระทบจำกัดเพราะกระทบต่ำกว่า 1% ของกำลังการผลิตรวมทั้งปี และบริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนโรงงานอื่นเพื่อให้ยังรักษาเป้าหมายการผลิตที่ 32,000 ล้านชิ้น/ปีได้


ส่วนการบันทึกบัญชีคาดว่า STGT จะบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากความเสียหายก่อนใน 1Q64 ที่ราว 50 -  100 ลบ. แทบไม่มีนัยยะเมื่อเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะสูงถึง 9,500 - 10,000 ลบ. ใน 1Q64 แต่หลังจากนั้นหากได้รับเงินเคลมประกันจะรับรู้กลับรายการเป็นกำไรพิเศษ


ทั้งนี้หากราคาหุ้นปรับตัวลงจากประเด็นดังกล่าวเป็นโอกาสสะสม เนื่องจากผลกระทบจำกัดมาก เรายังคงประมาณการกำไรปี 2564 ที่ 25,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากปีก่อน และมีโอกาสปรับประมาณการขึ้น ประกอบกับมีเงินปันผลสูงช่วยจำกัด Downside risk เรายังคงชอบ STGT แนะนำ “ซื้อ” ราคา 53 บาท



PTT ก๊าซธรรมชาติหนุนราคาหุ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ในปี 64 ผลการดำเนินงานธุรกิจก๊าซมีแนวโน้มปรับตัว หนุนโดยการฟื้นตัวของอุปสงค์และอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงแยกก๊าซ รวมทั้งอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายก๊าซจากโครงการบงกชและโครงการเอราวัณกับ PTTEP ปัจจุบันเห็นชอบในหลักการร่วมกันแล้วและคาดว่าจะลงนามได้ภายในกลางปี 64


สำหรับคำแนะนำพื้นฐานมองว่า แนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 64 คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป นอกจากนั้นการลงทุนใหม่ต่างๆ จะหนุนการเติบโตของกำไรในระยะยาว มูลค่าหุ้นปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 64 ที่ 4.9% เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 55 บาท



BEM รถไฟฟ้ามาแล้วนะเธอ

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด โดยในปี 64 ในเบื้องต้นผู้บริหารมองว่าอยากจะรักษาอัตราการจ่ายปันผลในระดับสูงนี้ต่อ ซึ่งจากแผนเงินลงทุนที่ไม่มากปีนี้หลักร้อยล้านบาท และจำนวนผู้ใช้บริการฟื้นต่อเนื่อง เราเชื่อว่าแนวทางนี้น่าจะเป็นไปได้ต่อเนื่องในปีนี้


ขณะเดียวกันผู้บริหาร เผยว่า จำนวนผู้ใช้บริการในเดือน ก.พ. ฟื้นจาก ม.ค. อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ม.ค. รถบนทางด่วน 8 แสนคัน/ วัน ผู้ใช้รถไฟฟ้า 1.5 แสนเที่ยว/ วัน ซึ่งจะเห็นว่า สูงกว่าจุดแย่สุดในปี 2563 คือเดือน เม.ย. ถึง 36% และ 92% ตามลำดับ สะท้อนว่าผลกระทบการแพร่ระบาดรอบ 2 นั้นไม่รุนแรงเท่าครั้งแรกอย่างชัดเจน


ดังนั้นการฟื้นตัวของกำไรจึงคาดหวังได้ เราคาดกำไรปีนี้ 2.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.4% จากปีก่อน บนสมมติฐานตามเดิม รถบนทางด่วนฟื้น 10% และ ผู้ใช้รถไฟฟ้าฟื้น30% ได้ราคาเหมาะสม DCF ปรับปรุงลงเล็กน้อย 1% เป็น 12.90 บาท/ หุ้น จากฐานผู้ใช้บริการปี 2563 ที่ต่ำกว่าคาด



BDMS คุณหมอรอรักษา

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดผลประกอบการจะกลับมาเติบโตในปี 2564 จากสถานการณ์ COVID-19 ที่คาดจะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น หลังจากวัคซีนที่เริ่มใช้แล้วในหลายประเทศ  เราคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติในครึ่งหลังปี 64 


อย่างไรก็ตามเรามีการประมาณการอนุรักษณ์นิยมมากขึ้น สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติที่ช้ากว่าที่เราคาดไว้ โดยปรับกำไรสุทธิในปี 64 ลดลงจากเดิม  15% เหลือ 8,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน ซึ่งจากการปรับสมมุติฐานรายได้ลดลงจากเดิม 6% เหลือ 74,380 ล้านบาท


มองว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรคาดดีขึ้นจากผลของรายได้ที่เพิ่มและผลบวกจากนโยบายควบคุมต้นทุนตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งบริษัทลดค่าใช้จ่ายไปกว่า 3.5 พันล้านบาท  ส่งผลบวกเต็มปีในปีนี้ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลงหลังจากการตัดขายหุ้น BH ออกไป คาดว่าจะถูกชดเชยบางส่วนจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง  


ดังนั้นผลประกอบการผ่านจุดที่แย่สุดไปแล้ว และจะกลับเข้าสู่จะกลับเข้าสู่วัฏจักรของการเก็บเกี่ยวกำไรอีกครั้ง  โดยปี 2564 ฟื้นตัวโดดเด่นจากฐานที่ต่ำ ระยะยาววางกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าประกันสุขภาพ เป้าหมายรายได้จากสัดส่วน 32% ของ ในปี 2563 เป็น 40% ในปี 2566 และบริษัทผ่านช่วงลงทุนขนาดใหญ่ไปแล้ว ทั้งนี้ปรับมูลค่าพื้นฐาน ในปี 2564 ซึ่งอิงวิธี DCF จากเดิมที่ 24.30 บาท เป็น 23.40 สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร  แต่มีการปรับสมมติฐาน Risk Market จากเดิมที่ 10% เหลือ 9% ส่วนลด WACC ปรับลดลงจากเดิมที่ 7% เหลือ 6.5%    



EGCO “โรงไฟฟ้าพาร์จู” จะพาขึ้นเด้ง

โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองว่า EGCO จะมีกำไรจากธุรกิจหลักดีขึ้นในช่วงไตรมาส1/64 จากโรงไฟฟ้า Paju ที่คาดว่าจะมีอุปสงค์มากขึ้นจากอากาศที่หนาวเย็นพร้อมทั้งราคา LNG ที่ปรับตัวลงจากช่วง ธ.ค.63 ทั้งนี้ โดยปกติไตรมาส1/64 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับ โรงไฟฟ้า IPP ในไทย โดยแนะนำให้ “ซื้อ” ECGO ด้วยมูลค่าเหมาะสม 282 บาท (DCF ด้วย WACC 4%) โดยมีปัจจัยเสี่ยงเชิงลบได้แก่ ความเสถียรในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ความล่าช้า และค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ บานปลาย

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree