จีนยันพร้อมพยุงค่าหยวน จวกสหรัฐฯยัดเยียดสถานะ ‘ประเทศปั่นค่าเงิน’
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีจีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน ( currency manipulator) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ที่สหรัฐฯจัดสถานะดังกล่าวให้กับประเทศคู่ค้า เป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่ผิดความคาดหมายมากนัก เพราะผู้นำสหรัฐฯกล่าวหาจีนในเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 เพียงแต่ในการประเมินสถานะของประเทศคู่ค้าโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯทุกๆรอบครึ่งปีเพื่อนำเสนอต่อสภาคองเกรส ไม่เคยมีการกล่าวหาจีนอย่างเป็นทางการว่าเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ จีนหลุดข้อกล่าวหานี้มาโดยตลอด ซึ่งเป็นไปได้ที่เหตุผลหลักๆนั้นก็เพราะที่ผ่านมา ทั้งจีนและสหรัฐฯยังคงมีความพยายามที่จะเจรจาหาทางบรรลุข้อตกลงการค้ากันอยู่ สหรัฐฯจึงยังไม่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นกับจีนให้เสียบรรยากาศ
ประธานาธิบดีทรัมป์ และนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลัง
แต่หลังจากที่คณะเจรจานำโดยนายโรเบิร์ท ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) และนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลัง กลับจากการเจรจารอบล่าสุดที่เซี่ยงไฮ้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่า จะขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นมูลค่าถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มมีผลในวันที่ 1 กันยายนที่จะถึงนี้ ถือเป็นการดับความหวังการเจรจาของทั้งสองฝ่ายอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯออกมาประกาศระบุสถานะจีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงินในตอนนี้ ทั้งๆที่ยังไม่ถึงวาระเสนอรายงานต่อสภาคองเกรส (ราวเดือนตุลาคม) จึงเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่อิงหลักดำเนินการที่เคยทำมา แต่ก็เข้าใจได้ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นอาวุธที่สหรัฐฯอยากนำออกมาใช้กดดันจีนนานแล้ว เมื่อการเจรจาล้มไม่เป็นท่า และจีนปล่อยค่าเงินหยวนอ่อนลงทะลุระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ฯ เมื่อต้นสัปดาห์ (5 ส.ค.) โดยธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ระบุว่า ค่าเงินหยวนที่อ่อนลงเป็นผลจากการกีดกันทางการค้า สหรัฐฯก็ถึงเวลานำข้อกล่าวหาเรื่องการปั่นค่าเงินออกมาใช้ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นการเขี่ยลูก เพื่อนำไปสู่การบุกซัลโวจีนด้วยมาตรการขึ้นภาษีมากขึ้น รวมทั้งมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ เช่นการห้ามบริษัทจีนเข้ารับงานประมูลโครงการของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือการกีดกันด้านการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ
พิสูจน์ตัวเอง พร้อมออกมาตรการดันค่าหยวน
ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนขอปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว “การกล่าวหาจีนเป็นประเทศปั่นค่าเงินเป็นการกระทำโดยลำพังฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ และถือเป็นพฤติกรรมกีดกันทางการค้า ทำลายกฎกติกาสากลของโลกเกี่ยวกับการปริวรรตเงินตรา และสุดท้ายแล้วก็จะส่งผลกระทบรุนแรงในเชิงลบต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ” แถลงการณ์ระบุ และนอกเหนือจากการออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯแล้ว พีบีโอซียังปรับอัตราอ้างอิงรายวันของเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นเมื่อวันอังคารเพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนไม่ได้ต้องการให้ค่าเงินหยวนอ่อนลงอย่างที่ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ยังประกาศมาตรการที่จะช่วยให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นโดยจะนำเงินหยวนในรูปธนบัตรมูลค่ารวม 30,000 ล้านหยวนออกขายในตลาดฮ่องกงในช่วงสัปดาห์หน้า
ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ พร้อมประกาศมาตรการพยุงค่าเงินหยวน
“สหรัฐอเมริกาไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะกล่าวหาว่า จีนปั่นค่าเงินโดยพิจารณาเพียงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนในวันเดียว” นายจาง อันหยวน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไชน่า ซีเคียวริตี้ส์ ให้ความเห็น เขายังคาดการณ์ด้วยว่า การตัดสินใจดำเนินการที่ผิดรูปแบบและหลักการของสหรัฐฯในครั้งนี้ ทำให้คาดว่า สหรัฐฯมีแผนจะออกมาตรการลงโทษจีนเพิ่มเติมอีก ขณะที่นายเอสวาร์ ปราสาท นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล อดีตเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ผู้เชี่ยวชาญประเทศจีน ให้ความเห็นว่า เงื่อนไขที่จะทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯประกาศว่าประเทศใดมีพฤติกรรมปั่นค่าเงินนั้น พิจารณาจากการได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศนั้นๆ (เกินดุลอย่างน้อย 3% ของ GDP) และประวัติการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งหากพิจารณาจากเงื่อนไขเหล่านี้ เขามองว่า จีนยังไม่เข้าข่ายประเทศปั่นค่าเงิน
ด้านสื่อท้องถิ่นของจีนได้มีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของสหรัฐฯอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ พีเพิลส์ เดลี่ ซึ่งเป็นสื่อของทางการ ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจควรจะต้องมีความรับผิดชอบในการปกป้องเสถียรภาพของโลกด้วยการสร้างเงื่อนไขและโอกาสสำหรับการพัฒนาร่วมกันของทุกประเทศ แต่มีบางคนในสหรัฐฯกำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้าม