3 หุ้น สร้างภูมิคุ้มกันให้พอร์ต ไม่ซื้อตอนนี้ แล้วจะซื้อตอนไหน
ในสภาวะของการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะไม่สามารถหาจุดสูงสุดของตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อได้ จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในทิศทางของการแกว่งตัว ไม่รู้ว่าจะขึ้นต่อดี หรือจะลงแรงๆ จึงทำให้นักลงทุนควรที่จะหาหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีไว้ในพอร์ทการลงทุน หรือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพอร์ทการลงทุน
โดยทีมงาน Wealthy Thai ได้นำข้อมูลจากบทวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ที่เล่าถึงหุ้นที่นักลงทุนควรจะมีไว้ในพอร์ทการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในการลงทุน และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพอร์ทการลงทุน ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบที่ 2 ของไทย จำนวน 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC
STGT ที่ประชุมมีมติอนุมัติการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตถุงมือยาง รวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท และอนุมัติการแตกพาร์เหลือ 0.5 บาทจากเดิมที่ 1 บาทต่อหุ้น อีกทั้งเพิ่มนโยบายการจ่ายปันผล ซึ่งทำให้ในปี 64 มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 12% ต่อปี ขณะที่ทิศทางกำไรจะเติบโตโดด ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 63 กำไรสุทธิจะเติบโต 1,949% และในปี 64 กำไรจะเติบโตขึ้นอีก 91% จากการปรับเพิ่มราคาขายถุงมือยางได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ทาง Wealthy Thai ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการที่ STGT ทำการ เพื่อนโยบายการจ่ายเงินปันผลจาก 30% ของกำไรสุทธิเป็น 50% ของกำไรสุทธิ และได้กำหนดช่วงเดือนที่จะจ่ายเงินปันผลไว้ที่เดือนมิ.ย. เดือนก.ย.และเดือนธ.ค. ซึ่งจะทำให้มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของปี 64 อยู่ ในระดับ 12%
ขณะที่ ADVANC ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 220 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าไตรมาส4/63 กำไรจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส3/63 โดยได้แรงหนุนจากยอดขายIPhone 5G ซึ่งเชื่อว่าจะเริ่มได้รับประโยชน์จากการลงทุนเครือข่าย 5G ประกอบกับต้นทุนที่ลดลงของค่าเสื่อมอุปกรณ์ 3G ที่ตัดจ่ายครบ จึงทำให้สามารถชดชเยภาระการลงทุนของ 5G ได้บางส่วน โดยประเมินกำไรในช่วง 1-2 ปีจากนี้ยังมั่นคงในระดับ 27,000 ล้านบาท โดย ADVANC มีจุดเด่นและความสามารถในการรักษาฐานกำไรและมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จึงคาดหวังปันผลสม่ำเสมอเกิน 3.5% ต่อปี
ส่วน DCC ราคาเหมาะสมมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 3.15 บาทต่อหุ้น โดยทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส4/63 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยได้แรงหนุนจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน และค่าขนส่งที่ลดลงจากการเจรจากับบริษัทขนส่งที่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซล B10 แทนน้ำมันดีเซล B7 คาดกำไรงวดไตรมาส4/63 จะอยู่ที่ 370-390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55-65% จากปีก่อน
ขณะเดียวกันในปี 64 ทาง DCC จะเน้นไปที่กระเบื้องพิเศษระดับ Medium to Hight มากขึ้น ช่วยหนุนอัตรากำไรชดเชยต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ให้ปันผลสูงเกือบ 8% ในปี 64 หลังจากที่ได้ปรับนโยบายการจ่ายปันผลเป็น 100%
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก