หุ้นค้าปลีกคึกลุ้น!ปลดล็อกดาวน์
หุ้นกลุ่มค้าปลีกคึกคัก ตอบรับคาดหวังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังนายกฯเตรียมทบทวนสถานการณ์ฉุกเฉิน วันที่ 28 เมษายนนี้ ชี้ราคาหุ้นทั้งกลุ่มปรับเพิ่มขึ้น 7.25% โบรกชี้รับอานิสงส์ถ้วนหน้า
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ในประเทศ ไทยเริ่มทรงตัว ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง ทำให้มีความคาดหวังว่าจะมีการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากการที่นายกรัฐมนตรีเตรียมทบทวนสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 28 เมษายนนี้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มค้าปลีก และห้างสรรพสินค้า ปรับเพิ่มขึ้นตอบรับกับข่าวดีที่จะไดกลับมาดำเนินกิจการอีกครั้ง หลังจากเริ่มปิดทำการตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม เพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อ
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า (COMM) ตั้งแต่วันที่ 16-23 เมษายน 2563 โดยดัชนีวันที่ 23 เมษายน ปิดที่ 34,192.18 จุด เพิ่มขึ้น 2,312.28 จุด หรือ +7.25% จากวันที่ 16 เมษายน ปิดที่ 31,879.90 จุด ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้น 6.03% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ ตั้งแต่ต้นปีถึง23 เมษายน 2563 ดัชนีหุ้นกลุ่ม COMM ปรับลดลง 11.16% ส่วนดัชนีหุ้นไทยปรับลดลง 19.45%
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ให้นํ้าหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก “เท่าตลาด” โดยเริ่มเห็นโอกาสผ่อนปรนมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ทั้งการปิดพื้นที่เสี่ยง รวมถึงร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นที่ต้องปิดสาขาช่วงก่อนหน้า คือ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC), บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO), บมจ.คอมเซเว่น (COM7), บมจ.ดูโฮม (DOHOME), บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (ILM) และบมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY)
ขณะที่ในกรณีที่ร้านโมเดิร์นเทรด สามารถกลับมาเปิดได้เร็วกว่าคาดแม้เป็น Upside ประมาณการ แต่ยังเสี่ยงถูกหักล้างจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้คาดกำไรปกติกลุ่มปี 2563 ยังทรงตัว แต่จะกลับมาเติบโต 14% ในปี 2564
สำหรับหุ้น CRC มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ไปมากแล้ว เชื่อว่าจะกลับมาปรับขึ้นเด่น ตามแนวโน้มกำไรคาดฟื้นตัวเร็วกว่ากลุ่ม เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลาย จากจุดแข็งธุรกิจกระจายตัว คือ กลุ่มอาหารที่ยังดำเนินได้ปกติ รวมถึงธุรกิจที่ครบครอบคลุมทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี โดยมีส่วนผสมธุรกิจมั่นคง กลุ่มแฟชั่น และธุรกิจเติบโต คือ กลุ่มฮาร์ดไลน์ ที่มีโอกาสแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดร้านค้าดั้งเดิม
นายวรรธนะ เจตน์จิราวัฒน์ นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า มาตรการล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงเช่นห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าที่ผ่านมา ไม่ได้มีผลกระทบต่อกลุ่มค้าปลีกมากนัก เพราะบางแห่งยังคงเปิดดำเนินการได้ปกติ โดยมองว่า การผ่อนคลายให้ร้านขายของที่ไม่ใช่ของ สดเปิดขายปกติ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นได้มากกว่า ซึ่งคาดว่าจะปลดล็อกเร็วสุดภายในเดือนพฤษภาคมนี้
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่แนะนำ คือ บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL), บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) และบมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะ MAKRO ที่ค่อนข้างได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอย ส่วนการลดมาตรการเคอร์ฟิวจะเป็นบวกต่อ CPALL ที่จะกลับมาดำเนินงานปกติ 24 ชม.ช่วยให้ยอดขายกลับมาเหมือนเดิม
ด้านบล.กรุงศรี จำกัด ระบุว่าหากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จริงจะเป็นบวกต่อผู้ประกอบการร้านอาหาร ZEN, MINT, CENTEL, CPN, CRC, MAKRO, BJC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME และ CPALL ซึ่งตามขั้นตอนการผ่อนคลายจะค่อยๆ ดำเนินการ โดยจะแบ่งเป็นเขตพื้นที่ และกลุ่มธุรกิจ (เขียว, เหลือง, แดง) กลุ่มสีเขียวคือจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อมีทั้งหมด 9 จังหวัด สีเหลืองติดเชื้อปานกลาง และแดงติดเชื้อจำนวนมาก
ทั้งนี้ กทม.แม้จะถูกจัดเป็นกลุ่มสีแดง แต่หากธุรกิจดังกล่าวอยู่ในกลุ่มสีเขียว เช่น ร้านอาหาร กลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีก และห้างสรรพสินค้า คาดว่าจะสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2563
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดระบุว่า เปิดเผยว่าจากผลกระทบไวรัสโควิด-19 คาดเห็นภาพการชะลอตัวของแรงซื้อมีโอกาสเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือน รวมถึงผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ซึ่งมีผลต่อการรับรู้รายได้และกำไรที่ลดลง
ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มค้าปลีกปี 2563 ลดลง 7% อยู่ที่ 46,000 ล้านบาท และปี 2564 ลดลง 13% อยู่ที่ 49,000 ล้านบาท โดยยังติดตามสถานการณ์ว่าจะคลี่คลายในช่วงเวลาใด ซึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของผลประกอบการของกลุ่มโดยรวม และการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก