หุ้นลีสซิ่งร่วงยกแผง
กังวล NPL – สัญญาเช่าซื้อฉบับใหม่
คาดหลังประกาศงบไตรมาส 3 ราคาหุ้นอาจฟื้นตัว

.
วันนี้ (17 ต.ค. 65) หุ้นกลุ่มลีสซิ่งโดนเทขายอย่างหนัก จากปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งความกังวลระดับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่อาจเพิ่มขึ้น และ ประกาศสัญญาธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 90 วันข้างหน้า กูรูแนะนำรอความชัดเจน NPL หลังประกาศงบไตรมาส 3/65 ชี้เป็นจุดเข้าลงทุนที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดี ขณะที่ประเด็นออมสิน ประกาศตั้ง Non-Bank ในปีหน้า TIDLOR-SAWAD ยืนยันไม่กระทบ
.
คุณกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มลีสซิ่งที่ปรับลงแรงวันนี้เกิดจากประเด็นเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศควบคุมสัญญาธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฉบับใหม่ พ.ศ. 2565 ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของหุ้นกลุ่มการเงิน เนื่องจากแนวโน้ม NPL อาจทำให้เกิดหนี้เสียโดยการตั้งสำรอง ซึ่งจะกดดันผลประกอบการ จึงทำให้หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง
.
ความกังวลดังกล่าวส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มลีสซิ่งระดับหนึ่ง แต่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว โดยคำแนะนำมองว่าจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มลีสซิ่ง คือ หลังจากการประกาศงบไตรมาส 3/65 เพราะความกังวลหลักคือเรื่องของ NPL ซึ่งจะเฉลยในงบไตรมาส 3/65 ดังนั้นคิดว่าช่วงนี้ แม้ราคาหุ้นจะปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่การซื้อหลังงบออกในไตรมาส 3/65 ออก แม้จะไม่ได้ถูกที่สุด แต่อยู่ในจุดที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า
.
สำหรับหุ้นแนะนำเชิงปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ TIDLOR เนื่องจากมีการตั้งสำรองสูง และมีรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย จึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 44 บาท แต่ในแง่ของการเก็งกำไร SAWAD น่าสนใจเช่นเดียวกัน ปัจจุบันราคาอยู่ในจุดที่ซื้อขายค่อนข้างถูกที่สุดตัวหนึ่ง แม้จะมีระดับการตั้งสำรองต่ำกว่า TIDLOR และ MTC แต่หากภาพของ NPL ออกมาชัดเจนมากขึ้นว่าไม่น่ากังวลและมีแนวโน้มจะฟื้นตัว จะเป็นหุ้นที่ฟื้นตัวได้แรง
.
ในส่วนของประเด็นธนาคารออมสินประกาศเตรียมทำธุรกิจบริการด้านการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) ในปี 2566 โดยให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) และจะคิดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 20% ต่อปี รวมถึงการมีแผนเข้ามาให้บริการสินเชื่อที่ดินและขายฝาก จะกระทบต่อธุรกิจของหุ้นกลุ่มลีสซิ่งหรือไม่นั้น นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR กล่าวว่า เงินติดล้อมั่นใจว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจหลักเป็นการให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และกลุ่มผู้ใช้สินเชื่อยังเป็นคนละกลุ่มกัน โดยกลุ่มลูกค้าของเงินติดล้อเป็นกลุ่มสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน นอกจากนี้ เงินติดล้อยังมีจุดแข็งในการให้บริการผ่าน “บัตรติดล้อ” บัตรกดเงินสดหมุนเวียนแบบไม่กดใช้ไม่เสียดอก ที่จะช่วยให้ผู้ขอสินเชื่อทะเบียนรถสามารถกดเงินสดตามวงเงินสินเชื่อของตนเองผ่านตู้ ATM ของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วประเทศ ช่วยให้สามารถเข้าถึงเงินทุนในยามที่ต้องการ ได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็วและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยลดขั้นตอนในการยื่นเอกสารขอสินเชื่อใหม่ และลดต้นทุนการเดินทางมารับบริการที่สาขา เพื่อให้สามารถนำเงินไปใช้แก้ปัญหาหรือฟื้นฟูกิจการของตนเอง และยังเป็นการลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี อีกทั้งที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังสามารถสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจนายหน้าประกันภัยได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และสามารถเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ส่งผลให้รายได้ที่มาจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
.
ด้านธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า ปัจจุบันพอร์ตธุรกิจของเครือศรีสวัสดิ์ ประกอบด้วย ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล 6% ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ 35% ธุรกิจสินเชื่อบ้านและที่ดิน 36% และธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ 23% โดยสัดส่วนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมีสัดส่วนน้อยที่สุดของบริษัท จึงคาดว่าจะไม่กระทบหากมีการจัดตั้งบริษัทนอนแบงก์ใหม่ในการทำธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน และที่ดินเป็นหลัก อีกทั้งแผนการปรับโครงสร้างองค์กรที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ธุรกิจเกิดความแข็งแกร่ง โดยจะมีการเพิ่มธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมศักยภาพธุรกิจเดิมตั้งแต่ปี 2566 เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเครือศรีสวัสดิ์