6 อาหารกรดยูริกสูง กินได้แต่พอดี กินมากเสี่ยงเป็นโรคเกาต์
เกาต์โรคใกล้ตัวที่หลายคนอาจเสี่ยงได้โดยไม่รู้ตัวสาเหตุใหญ่คือเรื่องของพันธุกรรม แต่การกินก็มีส่วนเป็นอย่างมาก เช็ก 6 อาหารกินเยอะ กินบ่อย กินไม่พัก อาจเสี่ยงโรคเกาต์ได้
โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่พบบ่อยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธ์และการกินที่สามารถลดความเสี่ยงได้
6 อาหารกรดยูริกสูง
- น้ำหวานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือทุกเครื่องดื่มที่ใส่น้ำเชื่อม เพราะในน้ำเชื่อมอาจจะมี น้ำตาลฟรุ๊กโตสผสมอยู่ ทำให้ระดับกรดยูริกในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
- เนื้อสัตว์ มักจะมีพิวรีน ซึ่งจะแตกตัวกลายเป็นกรดยูริกในร่างกาย อาจจะจำกัด ปริมาณให้ไม่เกิน 113-170 กรัม/วัน
- เครื่องในสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต สมอง ฯลฯ ของสัตว์ทุกชนิด จะเป็นส่วนที่มีพิวรีนสูงกว่าเนื้อเสียอีก ควรหลีกเลี่ยง หรือนาน ๆ ทานครั้งหนึ่ง
- ขนมขบเคี้ยว เนื่องจากเป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งไขมันชนิดนี จะทำให้กระบวนการกำจัด กรดยูริกในร่างกายทำงานได้ช้าลง
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะเบียร์ทุกชนิด เนื่องจากเบียร์มีส่วนผสมของยีสต์ที่มีพิวรีนสูง
- ผักชะอม เป็นผักที่มีกรดยูริกสูงมาก ซึ่งตามปกติแล้วร่างกายเราไม่ควรมีค่ากรดยูริกในเลือดเกิน 6-8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
โรคเกาต์ (gout) เกิดจากการสะสมผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต (monosodium urate crystal) ในน้ำไขข้อและก้อนโทฟัส (tophus) และการมีระดับกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia)
การกินอาหารที่มีสารพิวรีน (purine)สูงร้อยละ10 จะเปลี่ยนเป็นกรดยูริกในเลือดได้ อย่างไรก็ตามการกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูง ไม่ได้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ ในคนปกติ แต่ก็อาจกระตุ้นให้ข้ออักเสบกำเริบขึ้นได้ในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์อยู่แล้ว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยงโรคเก๊าต์
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- กินอาหารให้มีความหลากหลาย ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม ในกรณีที่มีระดับ กรดยูริกในเลือดสูงขึ้น ลดการกินอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก เนื้อแดง อาหารทะเล และยีสต์ เป็นต้น
- ลดผลไม้รสหวาน และเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลฟรุ๊กโตส
- งด/ลดการดื่มสุรา (โดยเฉพาะเบียร์)
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เนื่องจากเมื่อร่างกายมีภาวะขาดน้ำ จะมีการขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมอนามัย