TU ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบแล้ว โบรกฯแนะนำ “ซื้อ” รับไตรมาส 3 กำไรฟื้น
Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจแนวโน้มการเติบโตของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นับจากนี้ หลังจากรายงานไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 1,623.83 ล้านบาท ลดลง 30.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,342.86 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าปกติและจากรายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
โดยบริษัททำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 2/65 ที่ 38,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากช่วงเดียวกันปีจากราคาขายที่ปรับสูงขึ้นตามความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้มีการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า เพิ่มขึ้น 41.7% และกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป เพิ่มขึ้น 10.7% ในขณะที่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นลดลง 6.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ไล่เรียงจากมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากประเด็นบริษัทรายงานกำไรสุทธิราว 1,624 ล้านบาท แต่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 475 ล้านบาท, ขาดทุนอื่นสุทธิ 93 ล้านบาท และขาดทุนพิเศษจากการตั้งสำรองการปรับโครงสร้างโรงงานรูเก้น ฟิช ในเยอรมนีสุทธิ 195 ล้านบาท ส่งผล ให้กำไรปกติไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 1,436 ล้านบาท ลดลง 21.3%จากไตรมาสก่อน และลดลง 40.0%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดที่ 1,193 ล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 เบื้องต้นคาดฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่เป็น High Season ของธุรกิจ, เริ่มรับรู้ผลของต้นทุนปลาทูน่าที่ปรับลง และค่าขนส่งทางเรือที่คลี่คลายมากขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง แต่คาดกำไรจะยังชะลอตัวเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก GPM, ผลประกอบของ Red Lobster ที่จะยังฟื้นตัวได้ช้า และหยุดรับรู้กำไรอื่นๆจาก Red Lobster จากปีก่อนที่รับรู้กำไร 295 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามยังคงมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 แต่ประเมินว่า ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวแล้ว และคาดกำไรจะพลิกกลับมาเติบโตได้ในปี 2566 หากปัจจัยกดดันด้านต้นทุนคลี่คลาย และผลประกอบการของ Red Lobster คาดฟื้นตัวได้มากขึ้น จึงคงประมาณการกาไรปี 2565 และ 2566 แต่ปรับ (Roll over) ไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นไตรมาส 2/66 อิงวิธี SOTP และให้พรีเมียม PER 2% จากการประเมิน Yuanta ESG Rating ได้ระดับ AA ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 20.50 บาท มี Upside gain 23.5% จึงปรับคำ แนะนำ ขึ้นจาก Trading เป็น “ซื้อ”
ถัดมาบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ยังคงประมาณการกำไรปี 65 ที่ 6,414 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน โดยกำไรงวดครึ่งปีแรกของปี 65 คิดเป็นราว 52.5% ของประมาณการ ซึ่งคาดกำไรงวดไตรมาส 3/65 จะเริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนได้ เนื่องจาก จะเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจเต็มที่ บวกกับการปรับราคาขายเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ และขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยอดขายและอัตรากำไรจะดีขึ้น บวกกับค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขายเช่นกัน ด้านธุรกิจของ Red Lobster อาจเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป
โดยคงราคาเป้าหมาย 18 บาท อิง Justified PBV 1.5 เท่า โดยราคาหุ้นที่อ่อนตัวได้สะท้อนปัจจัยลบไปบ้างแล้ว ทำให้เริ่มเห็น Upside ที่น่าสนใจ นอกจากนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.4 บาท (XD 22 ส.ค. 65) คิดเป็น Div. Yield อีกราว 2.4% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
“เคทีบีเอสที” เพิ่มคำแนะนำ และราคาเป้าหมาย
ส่วนบริษัท หลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ขาย” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 21.00 บาท จากเดิม 16.40 บาท เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตที่ดูดีกว่าคาด โดยเฉพาะจากธุรกิจ pet food & value added ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65/66 ขึ้น และปรับ PER ขึ้น เนื่องจากมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทยังมี potential ในการเติบโตได้ต่อโดยจะเริ่มกลับมาเติบโตเทียบไตรมาสก่อน ตั้งแต่ไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป หลังจากรับรู้ ผลกระทบเชิงลบในไตรมาส 2/65 ไปมากแล้ว
ขณะที่ ผู้บริหารของ TU มองว่าตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน และในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากแนวโน้มรายได้ที่มากขึ้นทั้งจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และการปรับราคาขายขึ้นมาต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีการปรับมุมมองการเติบโตของรายได้ในปี 65 อยู่ที่ 10 - 12% จาก 7-8% โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตหลักมาจากธุรกิจ pet care & value added ที่จะเติบโตได้ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 65 รายได้เติบโต 35%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ Red lobster คาดว่าจะเริ่ม breakeven ในไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป
ดังนั้นจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ขึ้น 9% และปี 66 ขึ้นอีก 6% โดยคาดกำไรปี 65 อยู่ที่ 6,885 ล้านบาท ลดลง14% จากปีก่อน และปี 66 คาดที่ 7,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%จากปีก่อน เนื่องจากสมมติฐานปรับประมาณการรายได้ขึ้น โดยปี 65 เพิ่มมาอยู่ที่ 1.55 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%จากปีก่อน และปี 66 อยู่ที่ 1.65แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%จากปีก่อน เนื่องจากการปรับประมาณการรายได้จากธุรกิจ pet care & value added และambient ขึ้น ขณะที่ปรับรายได้จากธุรกิจ frozen ลงเล็กน้อย
