GGC EA KTC BEAUTY - ดีดกลับหลังลงแรง
20 ก.ค. 2561 / 14.15 น.
Cr.Wattana Stock Page
หุ้น 4 ตัวที่กล่าวมา เรียกได้ว่าเป็นหุ้นสร้างกระแสอือฮาให้กับนักลงทุนรายย่อยเป็นอันมาก เพราะราคาปรับตัวลงมามีทั้งที่ลงแบบแรงๆ และแบบที่ลงแบบต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มาจากข่าวร้ายที่ออกมาแบบไม่คาดคิด และอีกส่วนหนึ่งก็มาจาก การปรับการคาดการณ์ในอนาคตของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม หลังราคาปรับลงมามาก เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้าสู่จุดที่มันควรจะเป็นในทางพื้นฐาน แต่ก็ยังคงต้องติดตามเรื่องผลประกอบการและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
GGC - ราคาปรับตัวลงจากข่าวเรื่องสต็อกวัตถุดิบหายไปมูลค่าราว 2 พันล้าน ซึ่งเป็นเรื่องจริง ไม่ได้อิงนิยาย (หรือไม่ใช่เรื่องที่ลือกันนั่นเอง) โดยบริษทเป็นผู้แจ้งข่าวนี้กับตลาดเอง
งานนี้ผู้สอบบัญชีโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้สอบบัญชีไม่ได้ผิดอะไรเลย เพราะในการทำงบการเงินรายไตรมาสนั้น จะเป็นการทำ "งบสอบทาน" ซึ่งมีกรอบการทำงานไม่ได้ละเอียดเหมือนกันกับการตรวจสอบงบประจำปี
คนที่ไปต่อว่าผู้สอบบัญขีว่า ทำไมไม่ไปดูสินค้าคงเหลือเหรอ?? ใช่ครับ เขาไม่ไปดูอยู่แล้ว หน้าที่การนับสินค้าคงเหลือเป็นของบริษัทที่จะเป็นผู้ทำ ไมใช่หน้าที่ของผู้สอบบัญชีต้องไปนั่งนับ อีกทั้งการทำงานของผู้สอบบัญชี คือการตรวจสอบการทำงบของบริษัท ไม่ได้ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
บริษัทชี้แจงว่า เกืิดจากการทุจริตของพนักงาน ซึ่งในวงการก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าจะทุจริตกันอย่างไร เพราะวัตถุดิบที่หายไปนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม จะมาขโมยออกไปขาย แล้วจะขายใคร? บางกระแสบอกว่าอาจเป็นความผิดพลาดของการนับสต็อกภายใน หรือมีความผิดพลาดของการนำสต็อกไปใช้ของ GGC และ PTTGC เพราะสต็อกส่วนใหญ่เก็บอยู่กับ PTTGC
นักวิเคาะห์รีบประเมินผลกระทบจากแจ้งข่าวดังกล่าวทันที และบอกว่า ส่งผลต่อ GGC ประมาณ 2 บาท ทำให้ปรับลดมูลค่าเหมาะสมลงมาเหลือราว 10 บาทเศษๆ ส่วนผลกระทบต่อ PTTGC นั้นมีน้อยมาก
แต่ส่วนใหญ่จะกังวลกันเกี่ยวกับเรื่องของการตรวจสอบภายในที่ดูเหมือนจะบกพร่องของบริษัท โดยเฉพาะเป็นบริษัทลูกหลานของ PTT ที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังถึงการมีระบบการตรวจสอบที่ดี แล้วกลับมาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ราคาหุ้นร่วงลงหลุดระดับ 9 บาท และกลับมายืนแถวๆ 9 บาทต้นๆสักระยะ จากนั้นก็ดีดตัวกลับขึ้นมาเหนือ 10 บาท ซึ่งเป็นราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ซึ่งเป็นการตอบรับกับการคาดการณ์ว่า GGC จะต้องบันทึกขาดทุนทั้งจำนวนในงบไตรมาส 2 / 2561 นี้
ส่วนอนาคต ก็คงต้องตามดูกันต่อไป ว่าตกลงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้น เกิดจากอะไร เป็นการทุจริตของพนักงานจริงหรือไม่??
แต่จากการที่ PTTGC ถือหุ้น GGC อยู่ถึงราว 70% ทำให้ปริมาณหุ้นในกระดานมีหมุนเวียนน้อย แรงขายที่เกิดขึ้นจึงแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็ว และราคาดีดกลับมาได้ในที่สุด
EA - ไล่ราคากันอย่างบ้าคลั่ง จากความคาดหวังหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องโรงงานแบตเตอรี่ซึ่งจะใช้ในการเก็บสำรองไฟฟ้า อีกทั้งเรื่องการเข้าสู่ธุรกิจสถานีชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า
นักวิเคราะห์เสียงแตก เพราะบางโบรกให้ราคาเหมาะสมสูงปรี๊ด โดยตั้งสมมติฐานให้ธุรกิจแบตเตอรี่สามารถเริ่มได้ และทำได้จริงตามเป้าในอนาคต ในขณะที่บางค่ายก็บอกว่า ตัวโครงการธุรกิจแบตเตอรี่นั้น มีแผนจะทำจริงในเวลานี้แค่ 1 GWh เท่านั้น ก็ใส่มูลค่าเข้าไปเพียงแค่นี้ เพราะยังไม่รู้ว่า อีก 49 GWh ที่วางโครงการไว้จะได้ทำเมื่อไหร่ และถ้าทำจริง EA ก็มีเงินไม่พอที่จะทำอย่างแน่นอน
แต่กระแสบวกเรื่องนี้ ประกับกับมีผู้ไล่ราคาหุ้น ทำให้นักลงทุนมองภาพอนาคต EA สวยหรู และไล่ราคาขึ้นไป จนท้ายที่สุดราคาเริ่มปรับลงมา หลังมีข่าวเรื่องแผนซื้อไฟฟ้าภาพรวมของไทยปรับลดลง เพราะ demand ไม่ได้สูงอย่างที่ประมาณการไว้ ทำให้เกิดปัจจัยลบต่อหุ้นในกลุ่มนี้ที่ลุ้นการประมูลโครงการในอนาคต
ราคาหุ้นหลุดระดับ 30 บาท ลงไปจนเหมือนว่าจะวิ่งลงสู่เป้าหมายของนักวิเคราะห์โบรกหนึ่งให้ไว้
อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทชี้แจงความชัดเจนเรื่องการลงทุนโรงงานแบตเตอรี่ 1 GWh เฟสแรกในพื้นที่ EEC ราคาหุ้นก็เริ่มดีดกลับ นั่นเพราะการเริ่มลงมือทำโครงการที่ได้บอกกล่าวไว้ก่อนหน้า ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
หากโรงงานแบตเตอรี่นี้จะเป็น S-Curve เทคโนโลยีอย่างที่หลายคนคาดไว้จริง อนาคตของบริษัทก็ดูจะสดใสไม่น้อยทีเดียว
ดังนั้นราคาหุ้นของ EA นับจากนี้ น่าจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของโครงการต่างๆที่ผู้บริหารได้เคยให้ข้อมูลไว้ หากเริ่่มเห็นการเติบโตของรายได้ หรือมีแผนจะสร้างโรงงานแบตเตอรี่เพิ่มเติมที่แน่ชัด ราคาก็คงพร้อมจะขยับกลับขึ้นไปได้
ก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนว่า จะกล้าให้มูลค่ากับโครงการในอนาคตเหล่านี้กันสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครกล้าเอาทั้ง 50 GWh เข้ามาผันเหมือนก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
KTC - ฟลอร์ 1 วัน และดีดกลับซิลล่ิ่งในวันต่อไป เรียกได้ว่าเป็นหุ้นแห่งความสุดยอด ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ตรวจสอบแล้ว "ไม่พบความผิดปกติ" ใดๆ เอ้า เชื่อก็ได้
ไม่รู้ว่าแรงขายเกิดจากอะไร หลายคนโทษ block trade ซึ่งถ้าไปดูตัวเลข ก็ไม่ได้เยอะเลย หลายคนบอกเป็นการชอร์ต ก็ไม่เยอะ
ท้ายที่สุด หวยจึงออกมาที่ DW โดยมีการหาตัวเลขมาสนับสนุนว่า ถ้าผู้ออก DW ขายหุ้น KTC ออกมาทั้งหมดจะมีปรมาณหลายสิบล้านหุ้น
ราคา KTC ถูกจุดประกายปรับลง หลังมีคนผิดสังเกตกับ volume ขายในตอน ATC ซึ่งมีออกมาถึง 10 ล้านหุ้น และกดราคาให้ลดลงไปหลายช่อง และวันถัดไปราคาก็ไหลลงฟลอร์
ว่าดันตามตรง Call DW ของ KTC ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะ near the money หรือ ITM ไม่ได้มากนัก (ในวันก่อนที่ราคาจะปรับลงฟลอร์) ซึ่งการที่นักวิเคาาะห์บางท่านจะตั้งสมมติฐานว่า ผู้ออก DW มีการป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนนั้น เป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับนักลงทุนที่อ่านบทวิเคราะห์อย่างมาก
เพราะ ที่บริเวณ ATM นั้น DW จะมีค่า Delta เพียงแค่ 0.5 ถ้าจะป้องกันความเสี่ยงจริงก็ใช้หุ้นเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครป้องกันความเสี่ยงถึงครึ่งในทางปฏิบัติ ดังนั้น ตัวเลขที่สูงปรี๊ดที่นักวิเคราะห์ท่านนั้นเขียนถึง DW บนหุ้น KTC ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก และ DW จึงตกเป็นจำเลยไปโดยปริยาย
แปลกตรงที่ว่า กลับไม่มีใครมองว่า แรงขายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการขายของนักลงทุนที่ถือหุ้น KTC บางกลุ่ม ซึ่งถือมานานมากแล้ว และได้กำไรหลายเท่าตัวในเวลาไม่นาน
และเมื่อประเมินว่า ธุรกิจของ KTC จะไม่ได้โตเหมือนในอดีต ก็ขายหุ้นเททิ้งออกมา ซึ่งมันผิดปกติตั้งแต่ความต้องการขายหุ้นที่ ATC ถึง 10 ล้านหุ้นแล้วล่ะ
เมื่อมีการขายออกมามาก คนที่ถือหุ้นอยู่ก็เริ่มเทขายตาม และหลังจากนั้นจึงเกิดการเทขาย DW รวมถึงการปรับการป้องกันความเสี่ยงของผู้ออกด้วยการขายหุ้น KTC ออกมาด้วย
หากมอง DW เป้นจำเลยในการทำให้หุ้น KTC ลงแรง ทำไมไม่มองในมุมตรงข้ามว่า ตอนที่ราคา KTC ขยับขึ้นนั้น DW ก็เป็นส่วนช่วยให้มีการซื้อหุ้น KTC มากขึ้น และทำให้นักลงทุนที่มีหุ้นได้กำไรมากขึ้น
จะอย่างไรก็ตาม KTC ได้ประกาศงบไตรมาส 2 ออกมาในช่วงหลังตลาดปิดของวันที่หุ้นร่วงติดฟลอร์ โดยมีกำไรเติบโตถึง 60% ซึ่งนับว่าดีกว่าที่คาดไว้
แต่ แต่ แต่ กำไรที่โตนั้น หลักๆมาจากการตั้งสำรองที่ลดลงอย่างมาก จากที่ก่อนหน้านี้ KTC ตั้งสำรองสูงมาโดยตลอด ซึ่งตรงนี้เชื่อว่า เป็นความตั้งใจของบริษัทส่วนหนึ่งที่ในปีที่กำไรมีการเติบโตดีมากอยู่แล้ว ก็ตั้งสำรองสูงเพื่อไม่ให้กำไรมันโตมากจนเกินไป ในขณะที่พอรู้ว่ากำไรจากธุรกิจปกติจะเติบโตลดน้อยลง ก็ตั้งสำรองน้อยลง เพื่อดันให้ตัวเลขกำไรสูงขึ้น ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่มักจะมีการวางแผนและเกลี่ยสิ่งต่างๆเหล่านี้เพื่อให้งบออกมาไม่กระโดดขึ้นหรือลงมากจนเกินไป
ซึ่งในจุดนี้ อาจมีนักลงทุนบางกลุ่มมองว่า ถ้าถึงขนาดบริษัทต้องดันตัวเลขกำไรด้วยการลดการตั้งสำรอง อนาคตการเติบโตแบบที่ผ่านมานั้น อาจไม่ได้เห็นอีกแล้วก็เป็นได้ จึงได้ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เพราะมีต้นทุนที่ต่ำมาก
ในวันที่หุ้นลงฟลอร์นั้น มีกระแสพูดกันว่า นี่ไง KTC ลงมาถึงเป้าหมายที่โบรกเกอร์แห่งหนึ่งได้วางไว้ แถวๆ 24 บาทแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า เป็นบทวิเคราะห์เก่า ซึ่งเป็นการทำไว้ก่อนจะเห็นงบไตรมาส 2 แต่แปลกใจว่า ทำไมบทวิเคราะห์ฉบับนั้นถึงถูกหยิบยกมากล่าวถึงกันในวันนั้นพอดิบพอดี
และที่ผิดปกติก็คือ หลังงบออก บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ค่ายต่างๆก็เริ่มออกมา (ยกเว้นค่ายที่ให้ 24 บาท) และให้ราคาเหมาะสม KTC กันราว 30 กว่าบาท และมีอยู่่ค่ายหนึ่งคือหยวนต้าที่ให้สูงถึง 41 บาท
ทำให้ราคาหุ้น KTC ดีดกลับขึ้นชนเพดาน ก่อนจะปิดหย่อนลงมาเล็กน้อย
งานนี้จึงตอบไม่่ได้ว่า เป็นการขายขาเดียวลงมา หรือว่าเป็นเกมอะไรหรือเปล่าที่ขายหุ้นออกมาก่อนงบออกและวันถัดไปก็ดันขึ้นเพดานเลย
อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ ก็ถือว่า ราคาหุ้น KTC หลังจากเกิดกระแส "ตกใจ" ขายออกมา ก็ดีดกลับได้ในทันที เพราะธุรกิจก็ยังมี และก็มีการเติบโตเพียงแต่อาจไม่ได้ดูเร้าใจเหมือนก่อน ราคาแถวนี้ก็เป็นราคาที่นักวิเคราะห์ให้กันไว้แล้ว
BEAUTY - เหลือตัวเดียวที่ยังวิ่งกลับไม่ถึงราคาที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ หลังโดนกระแสข่าวลบต่างๆเข้ามา
กรณีของ BEAUTY นั้นมีความแต่กต่างกับ 3 ตัวที่กล่าวมาก่อนหน้าตรงที่ว่า ราคาหุ้น BEAUTY ถูกลากขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนมีค่า PE ที่สูงกว่า 50 เท่า ซึ่งนับว่าเป็นการมองอนาคตที่อาจจะสวยหรูมากเกินไป
ข่าวร้ายที่พิสูจน์ได้แล้วจริงก็คือ
1. ผู้บริหารลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 70% เหลือเพียง 21% แม้จะมีการยืนยันว่าไม่คิดจะขายเพิ่มเติมอีก แต่การลดสัดส่วนมากขนาดนี้ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่า ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้งมากับมือ ถ้าบริษัทยังดีจริง ทำไมไม่ถือหุ้นต่อในปริมาณที่มากกว่านี้ การลดสัดส่วนเหลือแค่นี้เหมือนว่าจะทิ้งธุรกิจนี้แล้ว แล้วทำไมถึงคิดจะทิ้งล่ะ แสดงว่าอนาคนมันไม่มีแล้วหรือเปล่า??
จะห้ามไม่ให้นักลงทุนคิดก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีเจ้าของที่ไหนที่อยากทิ้งธุรกิจของตัวเอง ถ้ามันยังดีอยู่ และการลดการถือหุ้นแบบนี้มันเคยมีตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้วกับหุ้นเน่าๆบางตัวก่อนหน้านี้ ที่ลากราคาหุ้นขึ้นไปสูงๆ พร้อมกับการขายหุ้นทิ้งของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยอ้างว่า "ขายให้นักลงทุนสถาบัน" เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
2. ยอดขายของ Beauty Cottage นั้นลดลง อันนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารชี้แจงเองในวันแถลงข่าว พร้อมกับบอกว่า งบไตรมาส 2 อาจจะโตน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่คาดว่าการปรับแผนการตลาดจะทำให้ยอดกลับมาดีได้ในครึ่งหลังของปี
หุ้นที่การเติบโตอยู่บนความคาดหวังของนักลงทุนหมดแล้วอย่างหุ้น BEAUTY นั้น นักลงทุน "ไม่พร้อม" ที่จะรับกับคำว่า ยอดขายตก หรือกำไรโตน้อยกว่าที่คิด เพราะมันเหมือนเป็นการพังวิมานที่นักลงทุนวาดไว้สำหรับอนาคตของหุ้นตัวนี้ลง
พอฟังถึงจุดนี้ นักวิเคราะห์ก็ต้องกลับมาทบทวนประมาณการ หั่นรายได้และกำไรกันลงเป็นว่าเล่น และที่สำคัญก็คือ มีการปรับค่า terminal growth ที่ใช้ในการประเมินราคาตามวิธี DCF ลงอย่างมาก เพราะประเมินว่า จะไม่ได้เห็นการเติบโตในระดับ 40% - 50% เหมือนเมื่อก่อนอีก บางแห่งให้ terminal growth เหลือเพียงแค่ 1%
ซึ่งหลายคนด่านักวิเคราะห์กันเสียๆหายๆ ว่าเป็นไปได้ยังไง ทำไมราคาเหมาะสมถูกหั่นจาก 20 กว่าบาทลงมาเหลือ 10 บาทต้นๆ
เป็นไปได้สิครับ เพราะมันเป็นการปรับทั้ง cash flow ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ลดต่ำลง และปรับ terminal growth ลงควบคู่กัน มันเลยทำให้เกิดผลกระทบขนาดนี้ ซึ่งก็เกิดจาก "การเปลี่ยนมุมมองการเติบโตจากหน้ามือเป็นหลังมือ" นั่นเอง
3. ผลกระทบจากผลิตภัณฑ์เมจิกสกิน และ ลิน ทำให้เกิดการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลต่อยอดขายในไตรมาส 2 ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะ BEAUTY แต่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการทุกราย รวมทั้งการส่งสินค้าออกไปขายยังประเทศจีนก็ถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นเช่นเดียวกัน แต่บริษัทที่ทำธุรกิจนี้ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุกรายเชื่อว่า ประเด็นนี้จะค่อยๆจากไป เพราะสินค้าของตัวเองนั้นไม่มีการผสมสารอันตราย และผ่าน อ.ย. อย่างแน่นอน
แต่เรื่องนี้ก็ส่งผลต่องบไตรมาส 2 ของ BEAUTY อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผู้บริหารก็ออกมายอมรับเอง
ซึ่งเราก็ต้องติดตามดูกันต่อไป เพราะผู้บริหารให้ตัวเลขว่าไตรมาส 2 ยังเติบโต แต่ในระดับต่ำ แต่นักวิเคราะห์บางส่วนเลือกที่จะประเมินว่า ไตรมาส 2 ไม่เติบโต และบางแห่งก็ทำติดลบเสียด้วย
แต่พึงระลึกไว้นะครับว่า "ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดบอกว่า" BEAUTY จะขาดทุน!!!! ส่วนใหญ่ยังมองการเติบโตในระดับ 15 - 20% ในปีต่อๆไป ยกเว้นปี 2561 นี้
ดังนั้น ในแง่ของธุรกิจนั้น BEAUTY ยังคงทำธุรกิจอยู่เช่นเดิม และยังคงประเมินว่าบริษัทจะมีการเติบโตทั้งในแง่ของยอดขายและกำไร เพียงแต่ "การเติบโตมันไม่ได้สูงถึง 40 - 50%" เหมือนที่ผ่านมาแล้วเท่านั้นเอง
ข่าวร้ายที่ลือกัน และยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
1. ผู้บริหารขายหุ้นออกมาเพิ่ม - อันนี้ก็มีแต่คำยืนยันเสียงแข็งในการแถลงข่าวก่อ่นหน้านี้ว่า ไม่มีการขายหุ้นออกมาเพิ่ม และก็จะไม่ขาย แต่นักลงทุนเมื่อมองในแง่ร้ายก็คิดไปได้หมดล่ะครับ
ที่สำคัญ ไม่ได้มีการปิดสมุดทะเบียนหลังการจ่ายปันผลที่ผ่านมาอีกเลย ทำให้ไม่รู้ว่า สัดส่วนการถือหุ้นนั้นเป็นอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นออกมาอีก และถือต่ำกว่า 20% ก็จะต้องแจ้งต่อตลาดให้รับรู้โดยทั่วกัน (ต้องแจ้งเมื่อมีการถือหุ้นเพิ่มหรือลดทุกระดับ 5%)
จริงๆแล้ว ถ้าหากต้องการสร้างความเชื่อมั่นจริง บริษัทสามารถทำเรื่องขอปิดสมุดทะเบียนและแจ้งต่อตลาดเพื่อเปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่อัพเดทที่สุดให้กับนักลงทุนได้รู้ ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นได้อีกทางหนึ่ง
แต่แปลกว่า ส่วนใหญ่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะขอปิดสมุดทะเบียนแล้วดูเอง ไม่ค่อยอยากเผยแพร่ให้รู้โดยทั่วไป
สรุปว่า มีการขายเพิ่มหรือไม่ ยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ แต่ถ้าขายจนเหลือน้อยกว่า 20% ก็ต้องรายงานตลาดครับ
2. สร้างออเดอร์ปลอม ทำให้ตัวเลขกำไรสูง เพื่อดันราคาหุ้น - จากที่สอบถามจากนักวิเคราะห์ และอ่านจากบทวิเคราะห์ของหลายๆแห่ง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครกังวลกับเรื่องนี้
เพราะนักวิเคราะห์เปรียบเทียบ "งบกระแสเงินสด" กับยอดขายด้วยกันทั้งนั้น โดยทุกแห่งสรุปตรงกันว่า กระแสเงินสดมันสอดคล้องกับยอดขาย
แต่ก็อย่างที่บอกล่ะ ว่าเมื่อคนมองในแง่ลบก็มักจะหาข้อจับผิดไปได้อีก โดยบางคนมองว่า ผู้บริหารใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้นมาซื้อสินค้าตัวเองก็มี เพราะว่ากำไรจากการขายหุ้นที่ราคาปรับสูงขึ้นนั้น สามารถเอามาซื้อสินค้าของบริษัทตัวเองไปทิ้งได้โดยไม่ระคายขนหน้าแข้ง
อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่มุมมองแล้วล่ะ แต่เอาเป็นว่า ยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้
ในกระบวนหุ้นทั้ง 4 ตัว นับว่ามีเพียง BEAUTY ตัวเดียว ที่ราคายังไม่ขยับขึ้นไปสู่จุดที่นักวิเคราะห์ให้กันไว้ แม้จะมีโบรกที่ให้ราคาเพียง 7 บาทเศษ แต่ก็เป็นเพียงโบรกเดียว ซึ่งมีการหั่นสมมติฐานจนย่ำแย่ ในขณะที่โบรกอื่น มีบางส่วนให้ราว 8 - 9 บาท และบางส่วนให้ 12 - 15 บาท
ถ้าเฉลี่ยๆ ก็อยู่ที่ราวๆ 10 บาท ซึ่งเป็นราคาเหมาะสมที่ "สะท้อนความเลวร้ายทั้งหมดที่คาดว่าจะเป็น" ไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายที่ลดลงในไตรมาส 2 การเติบโตที่อาจจะไม่มีในปี 2561 และปรับการเติบโตในปีต่อไปลงมาอย่างมาก
หลายคนเอาสิ่งที่ผู้บริหารบอกว่าประเมิน net profit margin 20% แล้วก็มาปรเมินราคา แต่ได้คุยกับนักวิเคราะห์ท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า เป็นไปได้ยาก เพราะ net profit margin ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับสูงกว่า 30% ต่อให้มีการปรับกลยุทธในการขายไปสู่ร้านสะดวกซื้อหรือ modern trade ก็ไม่น่าจะทำให้ net profit margin ลดลงฮวบฮาบขนาดนั้น
ที่แน่ๆก็คือ ช่วงนี้เป็นช่วงที่การซื้อขายของ BEAUTY จะถูกนำไปใช้คำนวณเป็นฐานการคำนวณราคาซื้อหุ้นคืนที่บริษัทได้มีมติออกมา โดยจะเริ่มในวันที่ 24 ก.ค. นี้แล้ว
ราคา BEAUTY น่าจะกลับขึ้นไปยืนที่ค่าเฉลี่ยราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ได้ ในกรณีที่ "ข่าวร้ายต่างๆที่ลือกันก่อนหน้านี้ไม่มีมูลความจริง"
แต่หากข่าวร้ายที่ลือกันก่อนหน้านี้มีมูลความจริง ก็คงไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นอย่างไร
การเข้าซื้อ BEAUTY ตรงนี้จึงมีความน่าสนใจ หากเราเชื่อว่า แค่ธุรกิจเติบโตน้อยลง แต่ไม่ได้มีการ "โกงหรือแต่งงบการเงิน" เพราะราคาปัจจุบันก็ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมที่ถูกหั่นจากมุมมองธุรกิจที่แย่ลงไปมากแล้ว
แต่หากมองว่า "ข่าวลือที่ว่ากันนั้น น่าจะมีมูล" ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างเด็ดขาด