CPF ชงผู้ถือหุ้นเพิ่มทุน 3.87 หมื่นลบ. 27 มิ.ย.นี้ เน้นขยายกิจการตปท
CPF เตรียมชงผู้ถือหุ้นพิจารณาวาระเพิ่มทุน 3.87 หมื่นลบ. วันที่ 27 มิ.ย.นี้ ผู้บริหารย้ำเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 8-10% และหวัง 5 ปีข้างหน้ายอดขายในต่างประเทศเพิ่มเป็นสัดส่วน 70% จากปัจจุบัน 64%
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บอกว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ทั้งปีจะเติบโต 8-10% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 4.76 แสนล้านบาท โดยเป็นการขยายตัวในกิจการต่างประเทศเป็นหลัก ที่ปัจจุบันมีธุรกิจครอบคลุม 16 ประเทศทั่วโลกซึ่งมีโอกาสและศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจ คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตั้งเป้ายอดขายที่มาจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของยอดขายรวมทั้งหมด จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 64%
ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ บริษัทฯ จะเสนอแผนการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจำนวน 1.55 พันล้านหุ้น วงเงินกว่า 3.87 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทให้เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้เพื่อการชำระคืนเงินกู้ยืมเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาทางคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติแผนการเพิ่มทุนในอัตรา 5 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิ 25 บาทต่อหุ้น จะช่วยทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทเข้มแข็งขึ้น
โดยหากผู้ถือหุ้นอนุมัติการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะได้รับเงินเพิ่มทุนในช่วงต้นเดือน ส.ค. ซึ่งเบื้องต้นจะนำมาใช้ในการชำระคืนเงินกู้ที่มีต้นทุนสูงของกิจการทั้งในและต่างประเทศ ช่วยลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้ถูกลง
นักวิเคราะห์มองภายหลังจาก CPF เพิ่มทุนไปแล้ว จะส่งผลให้หนี้สินต่อทุนจะลดลงเหลือ 0.9-1 เท่า จากปัจจุบันที่ระดับ 1.3-1.4 เท่า แต่มีผลกระทบให้ราคาพื้นฐาน มี Dilution หรือลดลงตามผลกระทบหุ้นเพิ่มทุน
มุมมองโบรกเกอร์ ต่อประเด็นเพิ่มทุน:
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุหลังเพิ่มทุน CPF นำเงินไปชำระหนี้ตามแผน จะทำให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงเหลือ 0.9 เท่า โดยประเมินราคาพื้นฐานหลังขึ้นเครื่องหมาย XR หรือเป็นวันที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิจองซื้อหุ้นออกใหม่ในวันที่ 3 ก.ค.60 จะลดลงมาอยู่ที่ 27 บาท พร้อมมองว่าธุรกิจจะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินโดยให้สมมติฐานการใช้สิทธิเพิ่มทุนทั้งหมด จะทำให้เกิด dilution กับราคาหุ้นบนกระดาน 16.7% ขณะ EPS หรือกำไรต่อหุ้นจะลดลง 13% จากประมาณการเดิมที่ 1.92 บาท เป็น 1.67 บาท ส่วนราคาเป้าหมายหลังเพิ่มทุนอยู่ที่ 32.7 บาท แต่จะลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ราว 1 พันล้านบาทต่อปี ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดเหลือ 1 เท่า จาก 1.4 เท่าในปี 2559
ที่มา Money Channel