ราคานํ้ามัน Wti ปิดที่ 56.56 USD Per Barrel เมื่อวานนี้ วันที่ 15 พฤศจิกายนปี พ.ศ 2561 ทําให้วัฏจักราคานํ้ามัน Wti เป็น ดังนี้ คือ :
1) วัฏจักร ราคานํ้ามัน Wti ( USD Per Barrel ) :
1.1) ปี ค.ศ 1973 = 3.14
1.2) ปี ค.ศ 1974 = 10.41 ( วิกฤตการณ์พลังงานครั้งที่ 1 )
1.3) ปี ค.ศ 1978 = 12.91
1.4) ปี ค.ศ 1979 = 29.19 ( วิกฤตการณ์พลังงานครั้งที่ 2 )
1.5) ปี ค.ศ 1998 = 12.28
1.6) ปี ค.ศ 2004 = 46.00
1.7) ก.ค ปี ค.ศ 2008 = 147.00 ( วิกฤตการณ์พลังงานครั้งที่ 3 และ All Time High )
1.8) ก.พ ปี ค.ศ 2016 = 26.00
1.9) วันที่ 3 ตุลาคม ปี ค.ศ 2018 = 76.90 ( High รอบล่าสุด และ +195.77% )
1.10) วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ 2018 = 55.67 ( Low รอบล่าสุด และ -27.61% )
1.11) วันที่ 15 พศจิกายน ปี พ.ศ 2018 = 56.56 ( +1.60% )
ผู้โพสต์คาดว่าราคานํ้ามัน Wti น่าจะอยู่ระหว่าง 26.00 - 76.90 USD Per Barrel ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจนถึงฟองสบู่โลกแตกในปี พ.ศ 2564
สาเหตุที่ราคานํ้ามันไม่น่าจะโดดเด่น เพราะ :
1) ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะผ่านพ้นจุดตํ่าสุดไปแล้ว และเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก็ปรับตัวได้ดีตั้งแต่ต้นปี พ.ศ 2559 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แต่ราคานํ้ามัน Wti ก็ได้ตอบรับไปแล้ว โดยราคานํ้ามัน Wti ปรับตัวจากจุดตํ่าสุดในรอบก่อนที่ 26 USD Per Barrel ในช่วงต้นปี พ.ศ 2559 มาทําจุดสูงสุดในรอบนี้ที่ 76.90 USD Per Barrel เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี พ.ศ 2561 ซึ่งก็ได้ทําให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคานํ้ามัน Wti เช่น PTT, PTTEP และ PTTGC เป็นต้น ได้ปรับตัวตอบรับไปแล้ว โดยปรับตัวขึ้นมาทําจุดสูงสุดตลอดกาลหรือจุดสูงสุดในรอบที่แล้วในช่วงครึ่งแรกของปีนี้คือปี พ.ศ 2561แล้ว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศจีนไม่ดี ( โตตํ่ากว่า 7% ) ซึ่งเป็นผลจากสงครามการเงินโลก และสงครามการค้าโลก ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ราคานํ้ามัน Wti จึงขาด Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน ที่สําคัญที่จะมีผลทําให้ราคานํ้ามันให้ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นเหมือนในปี พ.ศ 2550 - 2551
2) Shale Oil and Shale Gas ในสหรัฐอเมริกา เป็นตัวกดดันที่ทําให้ราคานํ้ามันปรับตัวขึ้นไปไม่ได้มาก เพราะถ้าราคานํ้ามันปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไป ก็จะมีแรงจูงใจที่จะทําให้มีการผลิต Shale Oil and Shale Gas ขึ้นมาทดแทนทันที
3) Renewable Energy ( ลม แสงแดด และ ชีวมวล ) เป็นตัวกดดันที่ทําให้ราคานํ้ามันปรับตัวขึ้นไปไม่ได้มาก เพราะถ้าราคานํ้ามันปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไป ก็จะเป็นแรงจูงใจที่จะทําให้มีการผลิต Renewable Energy ( ลม แสงแดด และ ชีวมวล ) ขึ้นมามาทดแทนทันที
ผู้โพสต์ได้ให้ความเห็นมาโดยตลอดว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นบลูชิพหรือหุ้นในกลุ่มนํ้ามัน ทั้งนี้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปีพ.ศ 2561ไปจนถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 เพราะสงครามการเงินโลก และ สงครามการค้าโลก ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และ นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท ของรัฐบาลไทยก่อนที่ฟองสบู่โลกจะแตกในปี พ.ศ 2564
อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นข้างต้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์เอง และ ไม่สามารถรับประกันความถูกต้องได้
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก ( www.bloomberg.com )
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com