ข่าวเก่า+ข่าวใหม่
22 มีนาคม 2557 06:12 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ดึงอ้อยออกจากปากช้างว่ายากแล้ว ยังไม่ยากเท่าเอาปตท.คืนมาเป็นรัฐวิสาหกิจพลังงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเหมือนในอดีต ดังนั้นการคิดพิมพ์เขียวปฏิรูปพลังงานไทยล่าสุดจึงต้องคิดแบบนอกกรอบและผลักดันกันให้สุดทาง หลังจากระดมสมองหาหนทางปฏิรูปพลังงานกันมาแล้วหลายรอบ ในที่สุด ก็ได้เค้าโครงร่างที่เป็นข้อเสนอต่อสาธารณะ โดยงานนี้ นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงานเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ร่วมกันแถลงข่าวเปิดพิมพ์เขียว “การปฏิรูปพลังงานไทย” เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา สำหรับร่างแผนแม่บทการปฏิรูปพลังงานไทยครั้งนี้ มีประเด็นแหลมคมกระแทกกลางใจพวกนักปฏิรูปพลังงานจอมปลอมทั้งหลาย เช่น การเสนอตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ การยกเลิกพ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ 2514 การยุติขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีทันที การยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การรื้อสูตรราคาน้ำมันอิงตลาดสิงคโปร์ ตบท้ายด้วยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน รายละเอียดของ(ร่าง)แผนแม่บทการปฏิรูปพลังงานไทย ที่กลุ่ม คปท.เสนอนี้ จะมีการไล่รื้อตลอดสายตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ยันปลายน้ำ ที่อยู่ภายใต้การผูกขาดของกลุ่มธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่เพียงไม่กี่กลุ่ม จึงมีอำนาจเหนือตลาด และยังมีอิทธิพลเหนือกลไกของรัฐ โดยมีแนวทางการปฏิรูปด้านกิจการต้นน้ำ ดังนี้ หนึ่ง ยกเลิก พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และออกกฎหมายปิโตรเลียมฉบับใหม่ กำหนดให้ปิโตรเลียมทั้งที่อยู่ใต้ดินและที่ถูกขุดขึ้นมาเป็นของรัฐ การนำมาใช้ประโยชน์ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน โดยเปลี่ยนระบบการให้สิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากระบบสัมปทานเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือสัญญารับจ้างบริการ และใช้วิธีประมูล สอง ให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (องค์การปิโตรเลียมเพื่อการพัฒนาประเทศ) ขึ้นแทนบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งแปรสภาพเป็นบริษัทเอกชนไปแล้ว เป็นองค์กรของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ จะนำมาขายหรือกระจายหุ้นเปลี่ยนแปลงเป็นเอกชนไม่ได้ สาม ให้จัดตั้งสภาประชาชนเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและปิโตรเลียมขึ้นมาทำหน้าที่กำกับดูแลบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (องค์การปิโตรเลียมเพื่อการพัฒนาประเทศ) โดยให้มีตัวแทนของประชาชนจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ รวมทั้งนักวิชาการ เป็นองค์ประกอบสำคัญ สี่ บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ คือ ถือสิทธิครอบครองทรัพยากรปิโตรเลียม เครื่องจักร อุปกรณ์ ชิ้นส่วน ที่ใช้ในการผลิต การตรวจวัด และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง, ออกกฎระเบียบ ควบคุมดูแล บริษัทฯ ที่ดำเนินกิจการด้านทรัพยากรปิโตรเลียมให้ดำเนินอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้, เป็นผู้ให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ด้วยวิธีการประมูลที่โปร่งใส โดยให้สื่อสารมวลชนทำการเผยแพร่การดำเนินการทั้งหมด, จัดทำสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์ให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน, จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อดำเนินกิจการการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในและต่างประเทศ, ดำเนินการจัดประมูลขายจำหน่ายจ่ายโอนปิโตรเลียมที่ได้จากแหล่งผลิตต่างๆ และให้มีการจัดตั้งกองทุนปิโตรเลียมเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านกฎหมายปิโตรเลียมฉบับใหม่ สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ ไม่ต่อสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมที่ใกล้หมดอายุอีกต่อไป และเมื่อหมดอายุสัญญาแล้วให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติสามารถใช้สัญญาแบบรับจ้างบริการดำเนินการในปิโตรเลียมแหล่งนั้นต่อไปได้ ในช่วงก่อนการยกเลิก พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 เพื่อเปลี่ยนมาใช้กฎหมายฉบับใหม่นั้น ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ จัดทำข้อเสนอต่อบริษัทฯ ที่ถือสัญญาสัมปทานอยู่เดิม เพื่อนำสู่การเปลี่ยนเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิต หากบริษัทฯที่ถือสัมปทานอยู่ไม่ดำเนินการ ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบการดำเนินการของบริษัทฯนั้น ว่ากระทำผิดผิดเงื่อนไขของมาตรา 110 และ 111 ของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 หรือไม่ และให้ดำเนินการยกเลิกสัญญาหากมีการดำเนินการที่ผิดเงื่อนไขดังกล่าว การปฏิรูปด้านกิจการกลางน้ำ (บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี) ซึ่งปัจจุบัน ปตท. และบริษัทในกลุ่ม เป็นผู้ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติอย่างครบวงจรเพียงรายเดียวในประเทศ ส่วนโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ ปตท.ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 5 โรงกลั่นจากที่มีอยู่ 6 โรงกลั่น นำไปสู่สิทธิผูกขาดในการเป็นเป็นผู้จัดซื้อ จัดหาพลังงานเชื้อเพลิงของประเทศแต่เพียงรายเดียว รวมถึงได้สิทธิเป็นผู้ผูกขาดการขายน้ำมันสำเร็จรูปให้กับหน่วยงานของรัฐบาล การที่ ปตท.ได้แปรรูปเป็นบริษัทเอกชนไปแล้ว จึงถือว่ามิใช่องคาพยพของรัฐอีกต่อไปบรรดาสิทธิและทรัพย์สินที่ได้มาด้วยการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ ต้องถูกยกเลิกไป และให้ ปตท.เป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า เพื่อเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรมโดยอาศัยกลไกตลาด และเพื่อให้การประกอบกิจการพลังงานมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอนทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ (มาตรา 84 (1) และ (5)) จึงสมควรดำเนินการปฏิรูปตามแนวทาง ดังนี้ หนึ่ง ห้ามมิให้ ปตท.เป็นเจ้าของท่อส่งก๊าซธรรมชาติสายหลักของประเทศ สอง ห้ามมิให้ ปตท.มีอำนาจผูกขาดในการจัดซื้อจัดหาปิโตรเลียมแต่เพียงผู้เดียว ยกเลิกการซื้อขายผ่านนายหน้า เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตัดวงจรที่อาจนำไปสู่การทุจริต สาม ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นใหม่ (องค์การปิโตรเลียมแห่งชาติ) มาแทนบริษัท ปตท. เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดหาโดยใช้วิธีซื้อแบบรัฐต่อรัฐ และต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกับเอกชนรายอื่น สี่ ให้ ปตท.อยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า และให้พัฒนากฎหมายการแข่งขันทางการค้า เพื่อป้องกันการผูกขาดตัดตอนทั้งทางตรงทางอ้อม โดยคุมสัดส่วนการถือครองตลาดของ ปตท. รวมบริษัทในเครือ ไม่ให้เกิน 30% ซึ่งจะทำให้มีการลดการถือครองหุ้นในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และกิจการพลังงานอื่นๆ เกิดระบบการแข่งขันที่เป็นธรรมและทำให้กลไกตลาดเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง และ ห้า ห้ามมิให้ข้าราชการเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทพลังงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง จนกว่าจะเกษียณอายุแล้ว 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนกิจการปลายน้ำ จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซหุงต้ม โดยให้ยกเลิกการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มหรือ LPG โดยให้รัฐบาลของประชาชนมีนโยบายให้ LPG ที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศต้องจัดสรรให้ประชาชนใช้ก่อนทั้งภาคครัวเรือนและขนส่ง ด้วยราคาตามต้นทุนบวกกำไรที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อผู้ใช้และผู้ผลิต เมื่อเหลือจึงให้ภาคอุตสาหกรรมทุกประเภทใช้ หากไม่พอให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้รับภาระการนำเข้าเอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป นอกจากนั้น ยังให้ยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากเป็นการจัดเก็บเงินจากประชาชน และใช้จ่ายเงินที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของระบบรัฐสภา มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ และทำให้โครงสร้างน้ำมันสำเร็จรูปไม่เป็นไปตามกลไกตลาดที่แท้จริง ดังนั้น จะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 10 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 3.30 บาทต่อลิตร และ แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 1.20 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันอี 20 และอี 85 เมื่อไม่มีการนำเงินกองทุนน้ำมันไปจ่ายอุดหนุนแล้ว รัฐบาลจะต้องตรวจสอบราคาจำหน่ายที่หน้าโรงกลั่นและค่าการตลาดที่สูงเกินจริง รวมถึงการยกเลิกโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงสำเร็จรูปที่อิงราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ โดยให้ยกเลิกการเก็บค่าพรีเมี่ยม เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าความสูญเสียระหว่างการขนส่ง จากประเทศสิงคโปร์มายังโรงกลั่นในประเทศไทยซึ่งไม่มีจริง และให้รัฐบาลกำหนดราคาจำหน่ายเชื้อเพลิงสำเร็จรูปตามราคาส่งออกจากไทยซึ่งกำหนดโดยกลไกตลาดโลก และให้บริษัทน้ำมันเผยแพร่รายงานต้นทุนที่แท้จริงของโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และสุดท้าย ยกเลิกมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 และกำหนดให้น้ำมันสำเร็จรูปไทยเป็นมาตรฐานเดียวกันกับกลุ่มประเทศอาเซียน (ยูโร 2) เนื่องจากมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 เป็นมาตรฐานที่สูงเกินจำเป็น เป็นภาระต่อประชาชน และยังเป็นการกีดกันทางการค้าน้ำมันในภูมิภาคอาเซียนซึ่งขัดกับหลักการของ AEC |
8/6/2558
กมธ. เสนอแผนต่อสนช. เกี่ยวกับแนวทางแก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม แนะ จัดตั้ง บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นตัวแทนรัฐ ควบคุมปิโตรเลียมแบบเบ็ดเสร็จ
คณะกรรมธิการ (กมธ.) เตรียมเสนอแผนแก้ปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 11 มิ.ย.นี้ โดยข้อเสนอหลักของคณะ กมธ.คือ การให้ตั้ง บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company) ให้มีฐานะเป็นตัวแทนของรัฐ เป็นผู้มีสิทธิเพียงรายเดียวในการสำรวจและให้สิทธิเกี่ยวกับปิโตรเลียมในการดำเนินการบริหารจัดการปิโตรเลียม และการบังคับบริษัทน้ำมันเอกชนในฐานะคู่สัญญา
โดยตราเป็นกฎหมายในระดับ พ.ร.บ.ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติมีสภาพนิติบุคคล และมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อให้การบริหารจัดการสัญญาที่เกี่ยวกับปิโตรเลียมไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการพัสดุของส่วนราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐและบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นผู้ถือสิทธิทรัพยากรปิโตรเลียมแทนรัฐในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากปิโตรเลียม ควบคุมดูแลระบบการสำรวจและแสวงหาประโยชน์ในปิโตรเลียมทั้งหลาย และมีหน้าที่ในการบริหารสัญญาสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิตและสัญญาจ้างผลิต
การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม คณะ กมธ.เห็นสมควรที่จะดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะยาวและระยะเร่งด่วน โดยในระยะยาว จำเป็นต้องวางระบบให้เป็นที่ยอมรับทุกภาคส่วนและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน จึงควรศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศอื่นๆ ที่มีลักษณะของแหล่งปิโตรเลียม สภาพสังคม และสภาพเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย ส่วนระยะเร่งด่วน คือการสำรวจปิโตรเลียมควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎหมายทั้งฉบับ
สำหรับปัญหาความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อการบริหารด้านพลังงานนั้น อาจกำหนดให้คณะกรรมการปิโตรเลียมมีสัดส่วนของตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วมในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยแก้ไขเพิ่มเติมความในหมวด 2 คณะกรรมการปิโตรเลียม มาตรา 15 ของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 นอกจากนี้ควรแก้ไขมาตรา 76 ของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 เรื่องเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เนื่องจากประชาชนต้องการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น รวมถึงรัฐต้องสามารถตอบปัญหาของประชาชนได้ เพื่อให้เกิดความไว้วางใจต่อรัฐบาลในด้านพลังงาน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ เรียกร้องสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้พิจารณารับร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ปิโตรเลียม พ.ศ…. แต่ให้ตัดมาตรา 10/1 เรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ออกไป ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่า วันที่ 30 มีนาคมนี้ สนช.จะมีการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม เพื่อลงมติในวาระ2 และ3 ซึ่งล่าสุดมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของสนช. คือ หลังจากร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม ผ่านการพิจารณาของสนช.ในวาระ1 และกำลังเตรียมเข้าวาระ 2 คณะกรรมาธิการวิสามัญได้เพิ่มเติมเรื่องใหม่ เป็นการแก้ไขหลักการของพ.ร.บ.ด้วยการเติม มาตรา 10/1 ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดยพิจารณาจากผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ทั้งที่รัฐบาลในฐานะผู้เสนอร่างไม่มีนโยบายจะทำ แต่คณะรัฐมนตรี(ครม.)กลับโอนอ่อนผ่อนตาม คาดว่าอาจเพราะเกรงใจใครบางคนหรือกลุ่มบุคคลซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในครม.ชุดนี้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า หากสนช.ปล่อยให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติถูกบรรจุในกฎหมายและผ่านการพิจารณา บรรษัทน้ำมันแห่งชาติจะมีกรรมสิทธิในพลังงานทุกชนิดรวมทั้งกิจการพลังงาน จึงมีความกังวลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต อาทิ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ซึ่งหากปตท.ประสบปัญหาจะกระทบต่อวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ และบรรษัทใหม่ซึ่งไม่มีประสบการณ์จะรับมือได้หรือไม่ โดยประเทศไทยอาจประสบปัญหาวิกฤตพลังงานจนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศเวเนซุเอลา เพราะบรรษัทน้ำมันแห่งชาติบริหารผิดพลาด