เทียบฟอร์ม 4 บจ.กลุ่มเครื่องดื่มในตลาดหุ้น พบ SAPPE ราคาพุ่งแรงสุด 70% ตั้งแต่ต้นปี
กลุ่มหุ้นเครื่องดื่มถือเป็นอีกหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภคเพื่อช่วยอาการกระหายน้ำหรือใช้ในการสังสรรค์ตามสถานการณ์ต่างๆ แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ที่เป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย จึงเป็นตัวช่วยผลักดันความบริโภคหรือการกระหายน้ำมากกว่าปกติ
จนทำให้กระแสการตอบรับจากนักลงทุนในหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยจากการสำรวจข้อมูลจากทาง Wealthy Thai พบว่า ความเคลื่อนไหวของหุ้นบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(ณ วันที่ 23 พ.ค. 66) มีปรับตัวขึ้นมาถึง 72.32% หรืออยู่ที่ระดับราคา 76.25 บาท
ดังนั้น ในครั้งนี้จะพาผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจมาดูแนวโน้มของธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มในปี 2566 พร้อมกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นรายตัวกันว่า จะมีความน่าสนใจและความโดดเด่นมากน้อยเพียงใด
โดยเริ่มกันที่ SAPPE บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/66 และ 3/66 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากทั้งในประเทศและส่งออกจากการทำการตลาดและสินค้าใหม่ปีนี้รวม 20 รายการ และคาดไตรมาส 4/66 จะอ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล
ขณะเดียวกันปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 เพิ่มขึ้นจากเดิม 16% และ 22% โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 956 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 46% และ 1.20 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 26% ตามลำดับ จากการส่งออกที่เติบโต, การทำการตลาดออกสินค้าใหม่และการเปิดการท่องเที่ยวในประเทศช่วยหนุนยอดขายกลุ่มเครื่องดื่ม ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายใหม่ที่ 97 บาท จาก 67.75 บาท
ด้าน CBG บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า กำไรไตรมาส 2/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ตามการรับรู้ส่วนแบ่งตลาดในประเทศมากขึ้นและตลาดต่างประเทศที่ฟื้นตัว ประกอบกับแนวโน้มต้นทุนที่ทยอยลดลง แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนยังลดลง เนื่องจากฐานที่สูง
สำหรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 ที่ 1.83 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 19.5% และ 2.32 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 26.4% เพื่อสะท้อนกำไรไตรมาส 1/66 ที่อ่อนแอกว่าคาดและแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้ใน CLMV ที่ยังช้ากว่าที่ประเมิน ประกอบกับแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวได้ช้าจากต้นทุนน้ำตาลที่สูงขึ้น ดังนั้นจึง แนะนำ “TRADING” หาจังหวะลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นย่อตัว กำหนดราคาเป้าหมายที่ 72 บาท
ขณะที่ OSP บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองกำไรไตรมาส 2/66 มีโอกาสกลับมาโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามยอดขายที่ฟื้นตัวจากปัจจัยฤดูกาลและส่วนแบ่งการตลาด และเริ่มรับรู้ต้นทุนก๊าซและค่าไฟที่ถูกลงมากขึ้น
ทั้งนี้ จากปัจจัยข้างต้นจะช่วยให้ผลการดำเนินงานเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวได้ตลอดทั้งปี จึงได้ประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2566 ที่ 2.8 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 45% ส่วนคำแนะนำ “Trading Buy” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 31 บาท
สุดท้าย ICHI บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/66 จะเติบโตต่อจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน จากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเครื่องดื่ม และแนวโน้มการเติบโตของตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม ประกอบกับการออกสินค้าใหม่
สำหรับประมาณกำไรปี 2566 ได้ปรับขึ้น 11.4% เป็น 825 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 28.5% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่อเนื่อง, การออกผลิตภัณฑ์ใหม่, รายได้ธุรกิจ OEM จะรับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้น และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นตามปริมาณการขายและธุรกิจ OEM ประกอบกับราคาต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง หนุนจะช่วยหนุนอัตรากำขั้นต้น ดังนั้น จึงยังแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 15.80 บาท