Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน คือ ปัจจัยชี้นําที่มีผลต่อทิศทางการปรับตัวของเศรษฐกิจ, ตลาดหุ้น, บริษัท, ธุรกิจ, อุตสาหกรรม และสุดท้ายก็จะส่งผลตอบแทนต่อการลงทุน
นักลงทุนหรือนักธุรกิจแต่ละท่านก็จะมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน เป็นของตัวเองที่แตกต่างกันออกไปตามความเชี่ยวชาญ ความชํานาญ ประสบการณ์ และความสนใจของแต่ละท่าน และท้ายที่สุดแล้วความสําเร็จในอนาคตก็จะวัดจากผลตอบแทนที่ออกมาจริงๆเมื่อเปรียบเทียบกับความคาดหวังของผลตอบแทนต่อการลงทุนที่นักลงทุนเองคาดว่าตัวเองจะทําได้ในอนาคต โดยการใช้ Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน นั้นๆเป็นเครื่องชี้นําในการลงทุน
สําหรับตัวผู้โพสต์เองคิดว่าตัวเองมีความเชี่ยวชาญ ความชํานาญ ประสบการณ์ และความสนใจเฉพาะเรื่องเฉพาะอย่าง ตลอดจนความพอใจกับผลตอบแทนคาดหวังที่จะได้รับที่อัตรา 11.3% ต่อ ปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ในช่วงปี ค.ศ 1920 - 1980 ( 60 ปี ) จึงได้กําหนด Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน ของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการลงทุน และเพื่อใช้เป็น Benchmark หรือ บรรทัดฐาน สําหรับการวัดผลตอบแทนจริงๆเมื่อเปรีบยเทียบกับผลตอบแทนคาดหวังต่อการลงทุนของตัวผู้โพสต์เองตั้งแต่ปีนี้คือปี พ.ศ 2561 เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงปี พ.ศ 2590 หรืออีก 30 ปีข้างหน้า ดังนี้ คือ :
1) เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาน่าจะดีกว่าจีนเพราะมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน ในแง่บวก คือ นโยบายการเมือง America First หรือ America Great Again ของประธานาธิบดี Donald Trump
2) ตลาดหุ้นไทยตกตํ่ากว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพราะมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน ในแง่ลบ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยในช่วง 15 - 20 ปีที่ผ่านมา แต่ Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน ของไทยน่าจะกลับกลายมาเป็นบวกในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้าเพราะการเมืองไทยตั้งแต่นี้ไปอีก 2 - 3 ปีน่าจะมีเสถียรภาพและมั่นคงขึ้นเพราะกําหนดการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยมีความชัดเจนแล้วว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 ซึ่งก็น่าจะทําให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวได้ดีในช่วงระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น
3) หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ 2561 - 2563 ( 3 ปี ) เพราะมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน คือนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทของรัฐบาล คสช.
4) การขายชอร์ตน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงตลาดหมีในปี พ.ศ 2564 ( 1 ปี ) เพราะมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน คือฟองสบู่โลกแตกเพราะปัญหาหนี้สินโลก และ ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของสภาวะดอกเบี้ย Fed Fund Rate ที่สูงๆที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 4.25% ในช่วงต้นปี พ.ศ 2564 ได้
5) หุ้นในกลุ่มถ่านหินน่าจะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ 2565 - 2570 ( 6 ปี ) เพราะมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน คือเศรษฐกิจจีนน่าจะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่หลังจากฟองสบู่แตกในปี พ.ศ 2564 และเติบโตได้ดี โดยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะโตได้เกิน 7% ต่อปี สาเหตุที่เศรษฐกิจจีนเป็น Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน ของธุรกิจถ่านหินก็เพราะจีนเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้นําเข้าถ่านหินรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก
6) Renwable Energy และ Electric Vehicle น่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่เพื่อทดแทนอุตสาหกรรม Fossil Fuel ( นํ้ามัน ก๊าซธรรมชาติ และ ถ่านหิน ) ในช่วงปี พ.ศ 2571 - 2580 ( 10 ปี ) โดยมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน คือ ประสิทธิภาพของ Energy Storage ( เครื่องกักเก็บพลังงาน ) ที่จะเป็นตัวชี้วัดความสําเร็จของอุตสาหกรรมนี้
7) Cryptocurrency น่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่เพื่อทดแทนอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ ในช่วงปี พ.ศ 2581 - 2590 ( 10 ปี ) โดยมี Driven Factors หรือ ปัจจัยขับเคลื่อน คือ ประสิทธิภาพของระบบ Blockchain ที่มีความสามารถและมีต้นทุนที่ตํ่ากว่าในการจัดการระบบการเงินโลก
หมายเหตุ : โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com