ห้องเม่าปีกเหล็ก

PTT-SCC มีปัจจัยบวกซ่อนอยู่

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
56 views

PTT-SCC มีปัจจัยบวกซ่อนอยู่ แม้น้ำมันดิบร่วงแรง COVID-19 กดดัน

แน่นอนว่าการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบในแต่ละครั้ง ไม่เป็นเรื่องที่ดีต่อหุ้นน้ำมัน ซึ่งล่าสุดราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแรง จากสัปดาห์ก่อน โดย Brent -7% เป็น 42.0 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และ Dubai -10% เป็น 41.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยปัจจัยกดดันหลักยังมาจากการระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลก ที่ยังไม่มีสัญญาณคลี่คลายลง ทำให้ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่เห็นเด่นชัดนัก

 

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent และเวสต์เท็กซัสปรับตังลดลง จากผลของการประกาศปรับลดราคา OSP (Official Selling Price) เดือนต.ค. ของน้ำมันดิบทุกชนิดประมาณ 0.90 - 1.50 เหรียญต่อบาร์เรล ของ Saudi Aramco เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 63 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของตลาดน้ำมันดิบ จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และความไม่แน่นอนของอุปสงค์น้ำมันดิบที่ยังคงกดดันตลาด

 

รวมทั้งการกลับมาของยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศอินเดีย อังกฤษ สเปน และในหลายรัฐของสหรัฐฯ คาคว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันชะลอตัวลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้ยากขึ้น

 

อย่างไรก็ตามตลาดยังจับตาการประชุมของกลุ่มไอเปก (JMMC) ในวันที่ 17 ก.ย. 63 เพื่อหารือเกี่ยวกับภาพตลาดโดยรวมและทบทวนเป้าหมายการปรับลดกำลังการผลิตที่ 7.7 ล้นบาร์เรลต่อวัน ที่มีกำหนดถึงเดือนธ.ค. 63

             

ราคาน้ำมันดิบร่วง โรงกลั่นอาจกลับไปขาดทุนสต็อก

 

การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ล่าสุดทาง WHO ระบุว่าเป็นภัยสาธารณสุขที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเผชิญมา มีโอกาสที่จะแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ส่วนความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนก็มีมากขึ้น แต่ทาง WHO ประเมินว่ากว่าจะมีวัคซีนใช้กันอย่างแพร่หลายก็เป็นกลางปี 64 (ส่วนที่มีข่าวว่าจะเริ่มใช้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้านั้น อาจจะเป็นแค่การใช้กับคนในวงจำกัดเท่านั้น)

          

“เห็นว่าอุปสงค์น้ำมันที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดหวังไว้ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจาก COVID-19, การลดราคาของผู้ผลิตขนาดใหญ่ เช่น ซาอุดี อารามโค และปัจจัยฤดูกาล ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอ่อนตัวลงในไตรมาส 3/63 ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบ BRENT อยู่ที่ 39.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าระดับปิดสิ้นไตรมาส 2/63 ที่ 41.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอยู่ -3.7%” ฝายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

 

พร้อมยังกล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันดิบลดลงเป็นบวกกับกลุ่มโรงกลั่นที่จะมีต้นทุนการกลั่นที่ต่ำลง แต่ก็จะถูกกกระทบจากผลขาดทุนในสต็อก เมื่อรวมๆ กันแล้วอาจเป็นลบมากกว่าบวก เพราะในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ปริมาณขายน้ำมันสำเร็จรูปตกต่ำ รวมทั้งจะกระทบกลุ่มปิโตรเคมีด้วย โดยทำให้ราคาปิโตรฯ ลดลงและอาจก่อให้เกิดผลขาดทุนในสต็อก

 

แต่... เป็นบวกกับกลุ่มขนส่ง เดินเรือ สายการบิน ยางมะตอย และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ (ซึ่งมีต้นทุนพลังงาน 15-30% การต้นทุนการผลิตรวม) อย่างไรก็ดีในช่วงที่มี COVID-19 แพร่ระบาดและเศรษฐกิจโลกหดตัว ปริมาณการขนส่งและการเดินทางเส้นทางบก ปริมาณการเดินเรือ และอัตราโดยสารเครื่องบินก็ลดลงมากจึงไม่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันลดลงนัก ก็จะมีธุรกิจยางมะตอยที่จะได้ประโยชน์มากกว่า ตรงที่ภาครัฐพยายามเร่งการใช้จ่ายและลงทุน ซึ่งส่วนหนึ่งคือการสร้างและซ่อมแซมถนน ทำให้อุปสงค์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำด้วย คงคำแนะนำซื้อ TASCO ให้ราคาพื้นฐาน 31 บาท

             

เน้นหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว

 

ส่วนนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองว่า จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงให้เน้นหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว ด้วยปัจจัยแวดล้อมของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีฯ ไม่ค่อยเป็นบวกนักทั้งราคาน้ำมันดิบปรับลดลงและค่าการกลั่นก็ปรับลดลง รวมถึงมีแรงขายต่อเนื่องของต่างชาติ จึงมองว่าในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยหนุนสำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน  

 

อย่างไรก็ดีก็ยังมีหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ คือ 1.SCC จากการได้ Pre-emptive Rights หุ้น SCGP ในอัตราส่วน 7.095 หุ้น SCC ต่อ 1 หุ้น SCGP ซึ่งขึ้น XB 10 ก.ย. และ 2.PTT ซึ่งมีประเด็นบวกรออยู่จากการเสนอขายหุ้น IPO ของ OR ซึ่งคาดจะได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน

 

แนะซื้อ SCC ราคาเป้าหมาย 402 บาท

 

ราคาหุ้น  SCC  ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องราว -12% จากจุดสูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยคาดเกิดจากความกังวลต่อแนวโน้มธุรกิจปูนซีเมนต์และปิโตรเคมีที่น่าจะอ่อนลงในครึ่งหลังของปี และมองว่าทำให้ Upside มีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับมีประเด็นบวกจากการทำ IPO หุ้น SCGP เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายเดิม 402 บาท

 

ความน่าสนใจของหุ้น SCGP  คือ 1.เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสำคัญของ SCC ด้วยสร้าง EBITDA ได้ 27% ของทั้งหมดในครึ่งปีแรกปี 63 และมีความสามารถในการทำกำไร (EBITDA margin) สูงที่สุด 2.ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง โดยรายได้ครึ่งปีแรก เติบโต 6.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.2 หมื่นล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษ) เติบโต11%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.2 พันล้านบาท โดยหลักจากการทำ M&A

 

3.SCGP มีการเตรียมการด้านโครงสร้างทางการเงินสำหรับการ IPO ด้วยการคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นให้แก่  SCC  2.8 หมื่นล้านบาท และมากู้เงินจากสถาบันการเงินแทน แบ่งเป็นระยะสั้น 2.1 หมื่นล้านบาท และที่เหลือเป็นระยะยาว ทำให้เรามองว่า SCGP จะนำเงิน IPO ส่วนหนึ่งไปคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย อันเป็นการเพิ่มกำไรในปีหน้า

 

และ 4.เราคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาด ณ ราคา IPO น่าจะเกิน 1 แสนล้านบาท ไปพอสมควร ทำให้น่าจะได้รับการคัดเลือกเข้า SET50 ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนแล้ว 6 เดือน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจต่อหุ้น SCGP มากขึ้นอีก โดยเฉพาะต่อนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ

 

สำหรับปัจจัยเสี่ยงคือ ภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งไทยอาจส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ รวมถึงความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงและวัตถุดิบหลักจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร

 

ขณะที่ PTT บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปมากที่สุดในตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุด ณ วันที่ 9 ก.ย.63 อยู่ที่ 1,006,845.62 ล้านบาท และแน่นอนว่าเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง PTT ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งเป็นผลพวงจากบริษัทย่อย ทั้งธุรกิจต้นน้ำ ปิโตรเคมี หรือแม้กระทั่งโรงกลั่นด้วย

 

แต่ PTT ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่นักวิเคราะห์ยังชอบอยู่ แม้สภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว หรือราคาน้ำมันดิบลดลง ดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้น เพราะมีปัจจัยเฉพาะตัวของ PTT เอง และล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ และเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 42 บาทจาก 37 บาท

 

โดยให้เหตุผลว่า มีปัจจัยหนุนโดย 4 ปัจจัยสำคัญ 1.มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจนในครึ่งปีหลังเทียบกับผู้เล่นรายอื่นๆ 2.เสถียรภาพของ Gas BU CF มีความน่าสนใจท่ามกลางความไม่แน่นอน 3.PTT ยังคงรักษาค่าเฉลี่ยอัตราการจ่ายเงินปันผล 55% โดยมีอัตราเงินปันผลตอบแทน 4-5% และ 4.PTTOR น่าจะ IPO ได้ในไตรมาส 4/63 เป็นปัจจัยหนุน

 

แนวโน้มครึ่งปีหลัง ฟื้นตัวชัดเจน

 

ผู้บริหารระบุว่า ปริมาณก๊าซในปี 63 จะลดลง 6-11% จากปีก่อน แต่ครึ่งปีหลัง 63 น่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากทั้งผู้ใช้ในอุตสาหกรรมและ GSP ดีขึ้น ราคาก๊าซรวมที่ลดลง 15-20% ในครึ่งปีหลัง 63 เทียบกับครึ่งปีแรกจะเพิ่มกำไรมากขึ้น ปตท.ผ่านจุดที่หนักที่สุดมาแล้วและจะฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรปี 63 ลง 27% เหลือ 5.4 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงการทำกำไรที่ไม่ดีในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น

 

ยึดเทรนด์พลังงานสะอาดขับเคลื่อน ESG

ปตท.ตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ หนึ่งในโครงการริเริ่มที่สำคัญคือการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน (จาก 200MW เป็น 8GW ภายในปี 2573) ล่าสุดปตท.กำลังเจรจาซื้อหุ้นส่วนน้อยในโครงการ ReNew Power ของอินเดียซึ่งมีมูลค่าประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ReNew Power เป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนอิสระชั้นนำของอินเดีย ที่ผ่านมาปตท.มีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนผ่าน GPSC (ธุรกิจไฟฟ้าเรือธง ปตท. ถือหุ้น 75%)

 

แต่เนื่องจากเป้าหมายมีขนาดใหญ่มาก จึงอาจมีการตั้งบริษัทขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรม ปตท. จะผลักดัน ESG อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) มูลค่า 2 พันล้านบาท (กรกฎาคม) ทั้งนี้กลุ่มปตท.ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2573 (16% ภายในปี 2563 น่าจะสำเร็จ)

 

เช่นเดียวกับ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 ที่ 40.00 บาท (SOTP) และปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" โดยมองว่าราคาน้ำมัน และราคาหุ้นที่ปรับฐานช่วงนี้เป็นจังหวะทยอยเข้าลงทุน เพื่อรับความน่าสนใจจาก 1.การฟื้นตัวที่ชัดเจนของผลประกอบการไตรมาส 4/63 ต่อเนื่องปี 2564

 

2.พื้นฐานแข็งแกร่งด้วยความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม กระจายธุรกิจครบวงจร ฐานะการเงินมั่นคง ทำให้สามารถทนแรงเสียดทานภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันได้ดี 3.Catalyst ความคืบหน้ากระบวนการ Filing IPO ธุรกิจค้าปลีก (OR) โดยตามกำหนดการ 165 วัน กลต.ต้องสรุปผลพิจารณาอนุมัติ Filing ภายใน 14 ก.ย.นี้ 4.ราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายบน PBV 1.1 เท่า นับว่ามีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี -1.5SD 5.ความสามารถจ่ายปันผลดีกว่าคู่แข่งจากผลประกอบการ - ฐานะการเงินที่มั่นคง รวมทั้งความต้องการเงินปันผลจากกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คาดการณ์เงินปันผลครึ่งปีแรก 63 ที่ 0.10 บาท/หุ้น (อิงนโยบาย 25%) อ้างอิงข้อมูลปี 2562 คาดประกาศจ่ายเงินปันผลช่วงกลาง - ปลายเดือนก.ย.

งบผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว มีความน่าสนใจใน Q4/63

 

แม้คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 ยังไม่โดดเด่น เพราะเป็นช่วงปิดซ่อมโรงแยกก๊าซ อุปสงค์ไฟฟ้าจากภาคธุรกิจ - อุตสาหกรรมยังอ่อนแอ ค่าการกลั่นอยู่ระดับต่ำ อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดในครึ่งปีแรก 63 มาแล้ว ขณะที่กำไรจะเห็นการเติบโตชัดเจนในไตรมาส 4/63 หนุนจาก 1.ราคาขายสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ 2.ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะแหล่งก๊าซในอ่าวไทยตามรอบปรับสัญญาขายเดือนต.ค. (อ้างอิงราคาก๊าซของ PTTEP 4Q63 จะอยู่ที่ US$5/mmbtu เทียบกับ 3Q63 ที่ US$6/mmbtu) 3.ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจ - อุตสาหกรรมฟื้นตัว 4.การปิดซ่อมบำรุงลดลง และ 5.ไม่น่ามีผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน

 

ตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. ราคาน้ำมัน WTI ปรับฐาน 14% ต่ำสุดตั้งแต่เดือนมิ.ย. กดดันจาก 1.ความกังวล Covid-19 หลัง WHO เตือนถึงโอกาสการระบาดรอบใหม่ 2.ฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐฯ เดือนเม.ย.-ก.ย. ใกล้สิ้นสุด 3. ค่าการกลั่นต่ำกดดันความต้องการใช้น้ำมันดิบ 4.ซาอุฯ ปรับลดราคาน้ำมัน OSP เดือนต.ค. 5.ดอลลาร์แข็งค่า 6.แท่นขุดเจาะน้ำมัน - ก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวเม็กซิโกเริ่มกลับมาผลิตหลังพายุเฮอริเคนคลี่คลาย 7.ความกังวล Compliance ของ OPEC+ หลังอิรักขอขยายระยะเวลาลดปริมาณผลิตที่ทำได้ต่ำกว่าโควต้า

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันระยะกลาง - ยาว หนุนจากความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มาตรการลดปริมาณผลิตของ OPEC+ ที่เข้มงวดถึงเดือนเม.ย. 2565 และปริมาณสต็อกน้ำมันโลกที่ทยอยลดลง คงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2563 - 2564 ที่ 42 – 47 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตามลำดับ (ค่าเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 42.8ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล) โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะสั้น ได้แก่ 1.การประชุม JMMC และ JTC วันที่ 16 - 17 ก.ย. อัพเดทตัวเลข Compliance 2. ครบกำหนดการ Brexit แบบไม่มีเงื่อนไขวันที่ 15 ต.ค. 3.ข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯ-จีนที่มีความเสี่ยงมากขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ เดือนพ.ย.

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น