ก้าวข้ามเงินกระดาษ … บทเรียนราคาแพงจากอินเดีย
---------------------------------------------------------------
ความปั่นป่วนหลังรัฐบาลอินเดียยกเลิกธนบัตรชนิด 500 และ 1,000 รูปี จะยังคงวุ่นวายต่อไปสักระยะ นายกรัฐมนตรีโมดีจะมีอนาคตทางการเมืองต่อไปอย่างไรยังไม่ทราบ แต่นี่อาจเป็นโอกาสดีที่ผู้กุมนโยบายจะปฏิรูประบบเศรษฐกิจ เร่งพัฒนาธุรกรรมแบบไร้เงินสดหรือออนไลน์ให้เข้าถึงประชาชนของตน ให้สมกับประเทศแห่งนี้ก็เป็นแหล่งผลิตบุคลากรและผลิตภัณฑ์ไอทีระดับโลก
ปลายปีที่ผ่านมา เกิดความโกลาหลขึ้นในอินเดีย เมื่อจู่ๆ รัฐบาลโมดีประกาศโครมเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2559 ว่าจะยกเลิกธนบัตรชนิด 500 และ 1,000 รูปี (มูลค่า 260 บาท และ 520 บาท) ในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับปิดธนาคารและเครื่องเอทีเอ็มทั้งหมดหนึ่งวันด้วย
หลังจากนั้น ทั่วโลกก็ได้เห็นภาพคนอินเดียต่อแถวที่ธนาคารหรือหน้าตู้เอทีเอ็มยาวเหยียดเพื่อฝากเงิน หรือไม่ก็พยายามแตกแลกเป็นธนบัตรชนิดอื่นๆ แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศมาตรการรองรับ โดยให้นำมาแลกเป็นธนบัตร 500 และ 2,000 รูปี แบบใหม่ภายในวันสุดท้ายของปี
แต่กว่าธนบัตรรุ่นใหม่จะกระจายไปทั่วประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลมีประชากรหลักพันล้านนั้น หาใช่จะสำเร็จในวันสองวันไม่ แม้จะมีข้อยกเว้นให้บางที่ เช่น โรงพยาบาลหรือสถานีขนส่ง ยังรับธนบัตรรุ่นเก่าต่อไปได้อีกระยะ แต่คงไม่มีใครอยากถือเงินที่เป็นโมฆะให้สุ่มเสี่ยง
ปัญหานี้ยังบานปลายกระทบต่อนักท่องเที่ยว ต้องหันมาใช้บัตรเครดิต/เดบิต หรือพกธนบัตรใบละ 100 รูปีกันเป็นฟ่อน
โมดีประกาศว่านี่เป็นมาตรการ "ล้างบาง" ธุรกิจผิดกฎหมายหรือเงินคอร์รัปชั่น ขจัดเงินนอกระบบของประเทศ
มันก็ฟังดูดี และมีเหตุผล
แต่ธนบัตรดังกล่าวมีราว 15.3 ล้านล้านรูปี คิดเป็น 86% ของธนบัตรทั้งหมด จึงย่อมสั่นสะเทือนเศรษฐกิจอินเดียอย่างใหญ่หลวง เพราะคนอินเดียวันนี้ยังซื้อขายด้วยระบบเงินสดกว่า 45% และเกษตรกรของประเทศ 260 ล้านคนส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคาร ยังต้องพึ่งพาผู้ปล่อยเงินกู้ในท้องถิ่น
แต่กว่ารัฐบาลจะรอให้มาเฟียจอมโกงทั้งหลายขนเงินออกมาแลก/เปลี่ยนธนบัตรใหม่ ... คนหาเช้ากินค่ำหรือสุจริตชนที่คุ้นเคยกับเงินสดก็คงจะตายไปเสียก่อน
นี่ยังไม่นับความเสียหายในมหภาคที่วิตกกันว่าอาจเกิดภาวะขาดแคลนเงินสดในระบบ จนคาดว่าประเทศจะสูญเงินไปกว่า 2.2 หมื่นล้านรูปีทีเดียว
ปัญหาในคราวนี้เป็นบทเรียนของรัฐบาลอินเดียให้ต้องรอบคอบมากขึ้น หากจะคิดทำเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถก้าวข้ามความวุ่นวายคราวนี้ ปรับระบบเศรษฐกิจให้ไปสู่ระบบเครดิตหรือธุรกรรมออนไลน์ ก็จะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศที่มีประชากรเกือบมากที่สุดในโลกเข้มแข็งยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต
.
ธนัย เจริญกุล
ทีม Communication บลจ.บัวหลวง
(ภาพประกอบนำมาจาก Google)