มีหนี้เมื่อพร้อม อย่ายอมเป็นทาสหนี้
โดย กัลยวีร์ โรจน์สุขพัฒนา CFP® นักวางแผนการเงิน สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนได้รับความสะดวกสบาย โดยเฉพาะการเข้าถึงโลกการเงินที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ทำให้หลายคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ก่อหนี้เร็วขึ้นเพื่อนำมาใช้จ่ายและตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทำให้หลายคนขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย จนนำไปสู่ภาวะการมีหนี้สินท่วมหัว ดังนั้น เพื่อไม่ให้ปัญหาทางการเงินลุกลามไปมากกว่านี้ต้องรีบกำจัดหนี้ พร้อมกับมีวินัยทางการเงิน
“ถ้าคุณซื้อแต่ของไม่จำเป็น ไม่นานคุณจะต้องขายของที่จำเป็น” ประโยคที่กระชับแต่โดนใจของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังระดับโลก ที่หลายคนได้อ่านอาจถึงกับสะอึก แต่ถ้ามองอีกมุมก็พบว่า ในสังคมปัจจุบันจะเห็นโฆษณาเชิญชวนให้ควักเงินออกจากกระเป๋าแทบห้ามใจไม่อยู่ ขณะที่แทบจะไม่เห็นโฆษณาเชิญชวนให้ออมเงิน ยิ่งเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตมากขึ้น จึงหนีไม่พ้นสิ่งยั่วยวนที่คอยกระตุ้นให้ต้องใช้จ่ายอยู่ตลอดเวลา จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้ยินคำว่า “หนี้เร็ว หนี้นาน หนี้มาก” ถี่มากขึ้น
ถ้าพูดถึงคน Gen Y (เกิดระหว่างปี 2524 – 2539) และคน Gen Z (เกิดระหว่างปี 2540 – 2555) ถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ในสังคมไทยเพราะมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ และช่วงอายุ 20 - 40 ปี เป็นกลุ่มวัยทำงานที่ครอบคลุมทั้งคนเพิ่งเริ่มทำงาน (First Jobber) และกลุ่มที่มีการงานมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เผยว่าคนไทยกลุ่ม Gen Y จำนวน 12 ล้านคน เป็นกลุ่มที่มีหนี้สินสูงถึง 4.5 ล้านล้านบาท และมีหนี้เสียถึง 3 แสนล้านบาท (ข้อมูลเผยแพร่ ณ เดือนกรกฎาคม 2565) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับคนแต่ละช่วงวัย เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัทบัตรเครดิตรวมถึงสถาบันการเงิน เพราะเป็นช่วงวัยที่มีกำลังซื้อสูงหรือยังมีหนี้สินไม่มากนัก ในขณะที่ Gen Z วัยเริ่มต้นทำงานที่รายได้ยังไม่มากหรือยังไม่แน่นอนก็มักถูกดึงดูดให้ทำบัตรเครดิตใบแรก จึงสามารถมีเงินใช้จ่ายล่วงหน้า ซึ่งหากไม่ระมัดระวังด้วยการใช้จ่ายเกินตัว เลือกชำระเพียงยอดขั้นต่ำ ทำให้คนรุ่นใหม่เป็นหนี้เร็วขึ้น
ด้วยผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจซบเซาทั้งในภาคธุรกิจและตลาดแรงงาน ส่งผลโดยตรงกับรายได้ภาคครัวเรือน ทำให้มีปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ประกอบกับราคาพลังงานโลกและราคาอาหารโลกพุ่งสูงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวที่มีหนี้อยู่แล้วต้องแบกรับภาระหนี้หนักขึ้นไปอีก
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น โดยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 4 ปี 2564 มีสัดส่วน 90.1% ต่อ GDP รายได้ของครัวเรือนมีการขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวของหนี้สิน โดยรายได้เพิ่มขึ้น 5.1% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2562 ขณะที่หนี้สินเพิ่มขึ้น 25.4% ในช่วงเวลาเดียวกัน และกลุ่มที่เป็นหนี้มากที่สุด คือ วัยทำงานอายุ 25 - 35 ปี และกว่าครึ่งหนึ่งของคนอายุ 30 ปี มีหนี้จากสินเชื่ออุปโภคบริโภค และหนี้บัตรเครดิต
แน่นอนว่าหากใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย บัตรเครดิตก็เปรียบเสมือนเครื่องมืออำนวยความสะดวก ไม่ต้องเดินไปกดเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มจึงช่วยลดความเสี่ยงในการพกเงินสดจำนวนมาก หรือสามารถทำรายการผ่อน 0% ได้ และยังสะสมแต้มหรือได้ส่วนลดเครดิตเงินคืนเมื่อมียอดการใช้จ่าย แต่หากรูดเพลินไม่ควบคุมให้ดี ย่อมก่อหนี้เพิ่มได้โดยไม่รู้ตัว
มือใหม่หัดใช้บัตรเครดิตต้องรู้
- ศึกษาข้อมูล เงื่อนไข สิทธิพิเศษของบัตรเครดิตก่อนตัดสินใจสมัคร ควรเลือกที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีและค่าแรกเข้า เลือกประเภทบัตรให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เช่น ชอบท่องเที่ยวอาจเลือกแบบสะสมไมล์ หรือหากขับรถก็เลือกบัตรที่ให้ส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนเมื่อเติมน้ำมัน เป็นต้น
- พึงระลึกอยู่เสมอว่าเงินจากบัตรเครดิตที่ได้มาไม่ใช่รายรับ แต่เป็นเงินล่วงหน้าที่ต้องใช้คืน ดังนั้น ถามตัวเองก่อนว่าถ้ารูดแล้วสามารถชำระคืนเงินเต็มจำนวนได้หรือไม่ ถ้าคำตอบ คือ ไม่ ก็ไม่ควรใช้ เพราะสิทธิประโยชน์ที่ได้อาจไม่คุ้มค่ากับดอกเบี้ยที่ต้องเสีย
- ต้องรู้วันตัดรอบบัญชี วันครบกำหนดชำระ เพราะการชำระเต็มจำนวนภายในวันครบกำหนด ยังอยู่ในระยะปลอดดอกเบี้ย รวมถึงควรรู้วงเงินบัตรเครดิตที่สามารถใช้ได้
- ไม่กดเงินสดจากบัตรเครดิตมาใช้เด็ดขาด เพราะถึงแม้จะมีอัตราดอกเบี้ยเดียวกับการรูดบัตรเครดิต แต่จะเสียค่าธรรมเนียมการกดเงินสดทันที 3% พร้อมภาษี VAT 7% หากมีเหตุจำเป็นจริง ๆ ให้ลองคำนวณดูว่าดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นเท่าไร สามารถชำระคืนได้หรือไม่
- ตรวจสอบยอดใช้จ่ายในใบแจ้งหนี้ว่าถูกต้องหรือไม่ หากมีรายการผิดปกติ ควรโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที เช่นเดียวกับกรณีบัตรหาย และไม่ควรให้ใครยืมบัตรเครดิตไปใช้เพราะข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลได้
ที่มาปัญหาหนี้ของคนรุ่นใหม่
1. แยกความจำเป็นกับความต้องการไม่ได้
กลุ่มคน Gen Z ที่เป็นวัยเริ่มต้นทำงานที่ยังมีรายได้ไม่สูงและยังมีทักษะในการบริหารเงินยังไม่มาก ถือเป็นกลุ่มคนเปราะบางที่น่าจะได้รับผลกระทบมากจากต้นทุนราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น จนอาจกระทบกับวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งค่าอาหารและค่าเดินทาง คนรุ่นใหม่จำนวนมากแยกความจำเป็นกับความต้องการไม่ได้ ให้รางวัลตัวเองมากเกินไป ค่านิยมที่อยากได้อยากมี อยากได้รับการยอมรับทั้งจากเพื่อนรอบตัวและเพื่อนในโลกออนไลน์ อาจกลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่เกินตัว และเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
2. การเข้าถึงเงินกู้ได้ง่าย
ท่ามกลางเศรษฐกิจซบเซานับตั้งแต่วิกฤติ COVID-19 ไม่เพียงแค่คนไทยที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในอังกฤษก็กำลังแย่เช่นเดียวกัน เพราะเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ด้วยความที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว แพลตฟอร์มการเงินเพื่อซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (แบบผ่อน) หรือที่เรียกว่า Buy Now, Pay Later จึงเป็นที่พึ่งพายอดฮิต เพราะมีการสมัครที่ไม่ยุ่งยาก ต่างจากการขอสินเชื่อบัตรเครดิตจากสถาบันการเงิน แต่เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาตั้งแต่ COVID-19 จนได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามรัสเซียกับยูเครนที่กระจายไปทั่วยุโรป ทำให้ครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยยิ่งมีสภาพคล่องทางการเงินต่ำ เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ต้องผ่อนจ่ายก็ต้องมองหาช่องทางอื่น เช่น ยืมเงินจากคนรู้จัก จึงทำให้อยู่ในวังวนกับดักหนี้แบบไม่จบสิ้น
จึงเห็นได้ว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขออนุมัติบัตรเครดิตหรือการขอสินเชื่อผ่าน Fintech Platform ในฐานะผู้บริโภคก็ควรประเมินตนเองด้วยว่ามีกำลังในการผ่อนจ่ายหรือไม่ วิธีการง่าย ๆ คือ ดูสัดส่วนระหว่างรายได้กับภาระผ่อนชำระหนี้ หรืออัตราความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ration : DSR) โดยนำค่าใช้จ่ายในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยต่อเดือน หารด้วยรายได้ต่อเดือน หากมีตัวเลข DSR สูง แปลว่า มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับหนี้สูง (โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 40%)
ทางออกของปัญหาหนี้
เมื่อพบว่าเป็นหนี้แล้ว ไม่ควรวิ่งหนีปัญหาแต่ให้เผชิญหน้าและเผชิญหนี้ ด้วยการรวบรวมหนี้ทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง ไม่ต้องอายที่จะไปขอเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อขอประนอมหนี้ ยืดระยะเวลาชำระ ขอลดอัตราดอกเบี้ย หรือแนวทางอื่นที่เหมาะสมกับสถานะการเงินปัจจุบัน ที่สำคัญต้องหยุดก่อหนี้ใหม่ด้วย รวมถึงการหารายได้เพิ่มและลดค่าใช้จ่าย
หากไม่อยากติดกับดักหนี้ ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินและรู้จักวางแผนการเงิน เพราะจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจควรระมัดระวังการใช้เงินและการก่อหนี้ มีเงินสดเผื่อสำรองไว้ยามฉุกเฉิน ตั้งงบประมาณการใช้จ่าย และควรจดบันทึกเพื่อดูนิสัยการใช้เงินของตัวเอง เมื่อสถานะทางการเงินเริ่มดีขึ้นแล้วก็อย่าลืมเริ่มต้นออมเงิน เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต