SELIC คุณค่าของธุรกิจกาว กับ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล และดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในรายการ Business Model สรุปสาระสำคัญมาให้อ่านกันจากการฟังรายการย้อนหลัง
ลักษณะธุรกิจ
SELIC และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย รวมทั้งวิจัยและพัฒนากาวอุตสาหกรรมที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม (Specialty and High Performance Adhesive) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนที ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล วิเคราะห์ไว้ในรายการ
- รายได้ของบริษัทค่อนข้างคงที่
- อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25-30% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
- ธุรกิจเดิมของบริษัทค่อนข้างคงที่ ดังนั้นบริษัทจำเป็นจะต้องหาอะไรใหม่ๆทำ นั้นคือธุรกิจฉลากสติกเกอร์ Stricker Labels
- บริษัทมีหนี้สินน้อยมาโดยตลอด
- การซื้อกิจการใหม่จะเป็นตัวเติบโตรอบใหม่ โดยบริษัทมีฐานรายได้เดิมอยู่แล้ว
- ในระยะสั้นอาจจะลำบากหน่อย แต่ในระยะยาวน่าจะดูดีมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน
- สรุปแล้วบริษัทเติบโตจากการทำ M&A ใช้ระยะเวลาอีกสักพักเพื่อ "รอคอย" การเติบโตรอบใหม่ ยังต้องรอการพิสูจน์
ส่วนที ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วิเคราะห์ไว้ในรายการ
- ดูจากภาพรวมแล้วถือว่าเป็นธุรกิจที่เหนื่อยพอสมควร ทั้งภาพใหญ่ในเชิงอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีแต่ลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมถึงธุรกิจที่ต้องใช้กาวถือว่าเป็นธุรกิจเก่าๆ
- ธุรกิจสติ๊กเกอร์ ตรงนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร การลงทุนในเครื่องจักร แรงงานคน ก็สามารถผลิตได้แล้ว แข่งขันกันที่ราคาและปริมาณอีก ไม่แน่ใจว่ากำไรจะดีขนาดไหน
- มันกลายเป็นว่าธุรกิจเติบโตได้จากการไปกินส่วนแบ่งของบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันกำลังถดถอยลง เราต้องไปแย่งเขามา
- บริษัททำ "กาว" มานานมาก มีความชำนาญ แต่เนื่องจากภาพอุตสาหกรรมมันลดลง ทำให้กำไรน้อยลง
- นักลงทุนให้มูลค่าสูงมาก ณ ราคาปัจจุบัน มีความคาดหวังสูง
- บริษัทมี Market Cap เพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 600 ล้านขึ้นมาเกือบพันล้าน คิดเป็น 40% ในขณะที่รายได้เท่าเดิม กำไรลดลงมาตลอด
- คำถามคือ ซื้อกิจการไปแล้ว จะเติบโตได้เท่าไร และจะดีอย่างที่คาดหวังหรือเปล่า ธุรกิจเดิมก็มีมาร์จิ้นบาง อยู่แล้ว
- ฝากความเห็นว่าธุรกิจโรงงาน หรือรับจ้างผลิต มันโตยากแล้ว ในยุคปัจุบัน ...
------------------------------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : รายการ Business Model SELIC คุณค่าของธุรกิจกาว