สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET ยังผันผวน โดยก่อนสงกรานต์พบดัชนีปรับตัวลงจากแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนวันหยุดยาว และมีปัจจัยลบกดดันจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าหลังจากจีนล็อกดาวน์เมืองใหญ่เพื่อคุมการระบาดของโควิดและความกังวลจากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ดีดัชนีฟื้นตัวดีขึ้นหลังสงกรานต์ โดยมีแรงซื้อหุ้นธนาคารที่งบออกมาดีกว่าคาด (KKP KTB), หุ้นที่ได้อานิสงส์บาทอ่อน (DELTA, KCE) และหุ้นที่ได้ผลบวกจากรัฐคลายมาตรการเข้าประเทศ (BDMS, BH, MINT) ขณะที่ Fund Flow แม้พบว่ายังมีทิศทางไหลเข้าตลาดหุ้นไทยแต่เริ่มสังเกตการชะลอตัวลงตั้งแต่เข้าสู่เดือน เม.ย.
ด้านแนวโน้มล่าสุด SET เริ่มปรับลงอีกครั้ง และผมมองว่า กรอบบนถูกจำกัดบริเวณ 1700 จุด และดัชนียังมี downside ในภาพรวม จากปัจจัยเสี่ยงภายนอกเป็นสำคัญ เช่น การดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวของเฟด, ความกังวล Stagflation และสถานการณ์โควิดในจีน รวมทั้งราคาน้ำมันที่คาดว่าจะยังทรงตัวสูงจากสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อและ EU กำลังร่างมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ซึ่งทำให้ตลาดมี Downside Risk จากการปรับลดประมาณการแนวโน้มกำไรลงในระยะถัดไป ส่งผลให้มองตลาดยังมีความเปราะบางในการฟื้นตัว
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ Selective Buy ในหุ้นเชิงรับที่มีคุณภาพ และ/หรือ มีปัจจัยบวกเฉพาะ เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1) กลุ่มหุ้นที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตดี มีผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายนอกอย่าง KBANK AMATA LH GULF ADVANC2) กลุ่มหุ้นท่องเที่ยวที่ได้อานิสงส์บวกจากที่รัฐคลายมาตรการเข้าประเทศ (ยกเลิก Test&Go) ตั้งแต่ 1 พ.ค. เลือก AOT ERW AWC CENTEL CPALL BJC 3)กลุ่มหุ้นเครื่องดื่มซึ่งมองตลาดปรับลดประมาณการสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว และ 2Q65 คาดกำไรดีขึ้น YoY และ QoQเลือก CBG OSP และ 4) หุ้นที่คาดงบ 1Q65 เติบโตดี เลือก BH HMPRO PTT
ส่วนกลุ่มหุ้นที่แนะนำเพิ่มความระมัดระวังลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มขนส่ง, ยานยนต์, วัสดุก่อสร้าง, โรงไฟฟ้า, อสังหาฯ, บรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีโอกาสถูก Downgrade Earning หลังประกาศงบ 1Q65 เนื่องจากมีความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ 1 พ.ค. รัฐบาลมีแผนยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท โดยจะลดเงินจากกองทุนน้ำมันที่เข้าไปชดเชยราคาลง 50% ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะขยับตัวขึ้นมาอยู่ที่ลิตรละ 35-35.50 บาท ซึ่งจะส่งผลให้มีการปรับขึ้นค่าขนส่งทั่วประเทศขั้นต่ำ 15% เพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาด
ทั้งนี้ ในบรรดากลุ่มหุ้นต่างๆ ที่แนะนำ ผมเลือกมาจัดพอร์ต 5 ตัว ไว้เป็นแนวทางสำหรับท่านนักลงทุน ดังนี้ครับ
1) LH หุ้นเด่นของกลุ่มที่อยู่อาศัย โดยคาดยอดขาย 1Q65 เติบโตทั้ง YoY และ QoQและจะเติบโตต่อเนื่องใน 2Q65 หลังมีกระแสตอบรับที่ดีในโครงการต่างๆ จากการผ่อนคลายมาตรการ LTV และมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ดีขึ้น
2) AOT ได้อานิสงส์บวกจากการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมาและลดความเสี่ยง downside สำหรับความเร็วในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
3) ERW หุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว โดยการยกเลิกข้อจํากัดการเดินทางจะทําให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมาและสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น
4) CPALL ปี 2565 คาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวขึ้น 73% YoY สนับสนุนด้วยส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก MAKRO และ Lotus’s ประกอบกับผลการดำเนินงานในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ฟื้นตัวดีขึ้น
5) BH 1Q65 คาดกำไรจะเติบโตดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติที่จะปรับตัวดีขึ้น…และพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี
https://www.thunhoon.com/article/255138