ส่องโอกาสอสังหาฯกับวิกฤติโควิด

ตลอดระยะเวลากว่า1 ปีเศษที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดการล็อกดาวน์ประเทศ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ถือว่าเป็นตลาดที่มีการลงทุนร้อนแรงมากที่สุด เพื่อรองรับกำลังซื้อต่างชาติ แต่การประกาศล็อกดาวน์ประเทศอย่างรวดเร็วทำให้สต็อกคอนโดล้นตลาด เพราะไม่สามารถส่งมอบและขายให้กับลูกค้าต่างชาติได้ จึงนำมาสู่การดั้ม ราคาขายแบบถล่มทลายในช่วง1ปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มว่าการดั้มราคาขายจะยังต่อเนื่องจนถึงปลายปี64นี้

แต่ในช่วงวิกฤตก็ยังมีโอกาสอยู่ เมื่อทิศทางการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทั่วโลกเริ่มดีขึ้นและมีหวังว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดทั่วโลกได้ภายในระยะ2-3ปีจากนี้ แนวโน้มดังกล่าวทำให้อสังหาฯไทยเริ่มมีความหวังและเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ หลังการมาของวัคซีนโควิ-19 ล็อตแรก ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นในเศณาฐกิจเริ่มกระเตื้องขึ้น

นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการผู้บริษัท ฟินิกช์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่จะเป็นปัจจัยช่วยสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี64 นี้คือ วัคซีนป้องกันไวรัสโคววิด -19 ซึ่ง ณ ขณะนี้วัคซีนที่ประเทศไทยสั่งซื้อไปได้ถูกจัดส่งมาถึงประเทศไทยและมีการเริ่มทยอยฉีดให้กับประชาชาแล้ว และเมื่อวัคซีนในล็อตที่สองได้ทยอยฉีดให้กับประชาชนในประเทศเพิ่มากขึ้น ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจะเริ่มทอยฟื้นตัวกลับมา รวมถึงความเชื่อมั่นต่อการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ

เพราะในขณะนี้ เป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา จีน และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วต่างทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศแล้ว และกลุ่มประชาชนของประเทศเหล่านี้ ก็คือกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายของประเทศไทย ซึ่ง ณ ขณะนี้มีความพร้อมและต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างมาก แต่ติดปัญหาคือ ประเทศไทยยังไม่สามารถเปิดให้เข้ามาในประเทศได้ เพราะความหลากหลายของนักท่องเที่ยวจากหลายๆประเทศนั้น ไม่สามารถแยกแยะได้ว่านักท่องเที่ยวคนใด หรือคนไหนคือผู้ติดเชื่อไวรัสโควิด-19แต่ยังไม่แสดงอาการ และหากกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการเดินทางเข้ามาก็จะกลายเป็นพาหะในการแพร่เชื่อได้

มาตรการที่มีการกล่าวถึงหรือเตรียมพร้อมแก้ปัญหาดังกล่าว คือการออกพาสปอร์ตวัคซีน สำหรับผู้ที่มีการฉีดวัคซีนครบตามกำหนดแล้วในแต่ละประเทศแล้ว โดยคาดว่าหากมีการออกพาสปอร์ตวัคซีนได้ในช่วงครึ่งหลังของปี64 นี้จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเริ่มกลับมาท่องเที่ยวในประเทศได้อีกครั้ง

“อย่างไรก็ตามเวลานี้ก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งได้ทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศแล้วโดยกลุ่มนี้ยอมที่จะกักตัว14 วันเมื่อเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดีของประเทศ เพราะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวเหล่านี้
สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณสุขไทย และมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพของประเทศไทยในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

นอกจากนี้ กลุ่มชาวต่างชาติจำนวนมากยังต้องการเข้ามาท่องเที่ยว และพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เนื่องจากมั่นใจในระบบสาธาสรณะสุขของไทย และการแพทย์ การดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19ในประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศของตนเอง และหลายๆประเทศที่ไม่สามารถดูแลผู้ติดเชื้อในประเทศได้อย่างทั่วถึงและมีการปล่อยให้ประชาชนต้องรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน

โดยเฉพาะภาพการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวของคนไทย ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ประเทศ และเมืองท่องเที่ยว เช่น
ที่เกาะภูเก็ต ซึ่งขณะนั้นมีนักท่องเที่ยวตกค้างอยู่จำนวนมาก และยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่คนไทยได้ส่งทีมแพทย์และอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือดูแลให้รักษากลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี จนเกิดเป็นภาพความประทับใจและข่าวที่ส่งต่อไปในประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้นักท่องเที่ยวบอกต่อและต้องการกลับมาอยู่อาศัย และกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง

ภาพการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ในช่วงที่เกิดเหตุการสึนามิในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งในครั้งนั้น คนไทยได้ส่งน้ำใจและมีอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบภัยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศใดในโลก ทำให้เกิดความประทับใจจากนักท่องเที่ยว และหลังเหตุการดังกล่าวการบอกต่อของนักท่องเที่ยวทำให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ตจำนวนมากทำให้การท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวได้เร็วกว่าประมาณการณ์อย่างมาก และเชื่อภาพการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวผู้ติดเชื้อโควิด-19ของคนไทยในครั้งนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวได้อย่างเร็วเช่นกัน

“เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมา โอกาสของธุรกิจอสังหาฯก็เปิดกว้างมากขึ้น เพราะเมื่อเศราฐกิจดีขึ้น กำลังซื้อจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นกิจกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยจะดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าโอกาสของอสังหาฯจะเปิดก้าวมากขึ้นแต่การจะกลับมาฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯได้ช้าหรือเร็วนั้นขึ้นกับนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินด้วย เพราะหากกำลังซื้อเริ่มฟื้นกลับมาตลาดเริ่มฟื้นกลับมา แต่ธนาคารไม่พร้อมปล่อยสินเชื่อก็ทำให้ตลาดฟื้นตัวช้า รงกันข้ามหากธนาคารพร้อมปล่อยสินเชื่อก็จะส่งผลให้ตลาดฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าในการฟื้นตัวของธุรกิจนั้นไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันในทุกเซ็กต์เม้นท์ดังนั้นการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของกลุ่มจึงมีคว่มเข้มงวดต่างกัน”

นายสุรเชษฐ กล่าวว่า นอกจากโอกาสของภาคอสังหาฯจากผู้บริดภคในประเทศแล้ว กลุ่มนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็เป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจอสังหาฯโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียม ซึ่งเปิดให้ต่างชาติถือครอกรรมสิทธิ์ได้ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าแม้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ณ ปัจจุบันจะอยู่ในภาวะโอเวอร์วับพลาย แต่ในสายตาของนักท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ตลาดอสังหาฯไทยยังมีศักยภาพสูงยังน่าลงทุน น่าซื้อ และยังเป็นประเทศที่น่าอยู่อาศัย ประกอบกับราคาขายอสังหาฯไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการลงราคาขายลงมากว่า20-30%

ทั้งนี้ ในสายตาของชาวตต่างชาติแล้วประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่เหมาะกับการอยู่อาศัยระยะยาว
เพราะประเทศไทยนั้น ไม่มีความขัดแย้งด้านเชื้อชาติศาสนา และไม่มีการเหยียดสีผิว แถมคนไทยยังมีอัถยาสัยดีและต้อนรับท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติ นอกจากนี้ ค่าครองชีพที่อยู่ในระดับต่ำ คุณภาพชีวิตดี สถานพยาบาล
สาธารณสุขดีเยี่ยม ระบบการศึกษาได้รับการยอมรับก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูให้คนเอเชียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว
เข้ามาศึกษาต่อและทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะชาวจีน พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปีนส์ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ส่วนมากเข้ามาศึกษาในประเทศไทยแล้วไม่ยอมกลับประเทศแต่หางานทำและอยู่อาศัยในประเทศไทยต่อ
ปัจจัยทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติสนใจเข้ามาอิยู่อาศัยในประเทศไทย

ดังนั้น แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการโอเวอร์ซับพลายในตลาดคอนโดในปัจจุบัน จะทำให้คนไทยมองว่าตลาดอสังหาฯไทยค่อนข้างแย่ แต่ในสายตาของต่างชาติ แล้วภาวะนี้คือจังหวะและโอกาสอันดีที่จะเข้ามาลงทุนและช้อปคอนโด หรือเทคโอเวอร์ธุรกิจอสังหาฯ และโรงแรมในประเทศไทย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มทุนต่างประเทศ และในประเทศหลายๆรายที่มีเงินทุนก้อนโต มีการเข้าเจรจาของซื้อบิ๊กล็อตโครงการห้องชุด และเทคโอเวอร์กิจการ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากฮ่องกง ที่แสดงความสนใจอย่างมาก แต่มีน้อยรายหรือแทบไม่มีรายใดที่สามารถปิดดิวได้

เพราะเจ้าของกิจการไทยไม่ยอมลดราคาลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว ขระที่กลุ่มทุนต่างๆ ยังต้องการกดราคาซื้อให้ต่ำที่สุด แม้ว่าผู้ประกอบการไทยจะมีการลดราคาขายลง30-40% แล้วก็ตาม โดยเฉพาะการเจรจาในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการประกาศขายกิจการจำนวนมากแต่แทบไม่มีรายไหนที่ปิดดิวได้เลย

นายสุรเชษฐ กล่าวว่า การที่ธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงปีที่ผ่านมาประสบกับปัญหาการชะลอตัวรุนแรงเพราะชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้แบบปกติ ประเทศไทยซึ่งพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับรายได้จากช่องทางอื่นของประเทศไทย ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่าทำไมธุรกิจโรงแรมที่พักต่างๆ จึงประสบปัญหาอย่างหนัก จำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราว เลิกจ้างพนักงานบางส่วนหรือทั้งหมดแบบทันที
และแบบทยอยเลิกจ้างรวมไปถึงการปิดกิจการถาวรพร้อมประกาศขายกิจการทันที

เนื่องจากมีภาระเรื่องของสินเชื่อธนาคารที่ไม่สามารถหามาผ่อนชำระต่อไปได้อีก แม้ว่าธนาคารจะมีมาตรการผ่อนปรนภาระหนี้สินให้กับธุรกิจโรงแรม แต่ก็มีไม่กี่เดือนเท่านั้น ธนาคารเองก็ไม่สามารถผ่อนปรนได้นานเช่นกัน การที่โรงแรมหลายแห่งประกาศขายกิจการจึงเป็นอีก 1 ทางเลือกสุดท้ายของเจ้าของโรงแรม เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าของโรงแรมก็ไม่อยากโดนธนาคารยึดทรัพย์สิน ยอดตัดใจขายออกไปในราคาที่พวกเขายอมรับได้พร้อมกับสามารถปิดบัญชีสินเชื่อธนาคารได้ไปในตัวดีกว่าการปล่อยธนาคารยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้สิน

ผู้ที่มี ความพร้อมหรือนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเข้าซื้อโรงแรมที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงที่ผ่านมาจึงเริ่มเปิดเผยตัวหรือแสดงตัวออกมาในตลาดมากขึ้น เพื่อให้กลุ่มของเจ้าของโรงแรมรับรู้ว่ามีกลุ่มคนหรือกลุ่มของนักลงทุนที่มีความพร้อมในการเข้าซื้อกิจการโรงแรมต่างๆทั่วประเทศไทย เพื่อให้ง่ายขึ้นในการเข้าไปเจรจากับเจ้าของโรงแรมเพียงแต่การเจรจาเข้าซื้อกิจการหรือซื้อทรัพย์สินที่เป็นโรงแรมนั้นอาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนการซื้อที่ดิน หรือซื้อที่อยู่อาศัยเพราะปัจจัยที่ใช้ประกอบการพิจารณานั้นซับซ้อนและหลากหลายมากกว่ากัน รูปแบบของการเจรจาโดยทั่วไปที่พบเห็นมีอยู่ 6ปัจจัยประกอบด้วย

1.การเจรจาเพื่อซื้อทรัพย์สิน  เป็นรูปแบบการเจรจาซื้อโรงแรมโดยพิจารณาจากมูลค่าปัจจุบันของทรัพย์สินซึ่งประกอบไปด้วยที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรืออุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของโรงแรม ซึ่งรูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะติดปัญหาในเรื่องของมูลค่าทรัพย์สินที่ทั้งฝั่งของผู้ซื้อและฝั่งของผู้ขายมองไม่ตรงกัน โดยในภาวะปกติการตีมูลค่าโรงแรมจะใช้วิธีประเมินมูลค่าจากรายได้ ซึ่งในภาวะปกตินั้นมูลค่าที่ได้จากการประเมินรายได้นั้นจะสูงกว่ามูลค่าที่ดินและสิ่งปลุกสร้าง อีกทั้งยังมีโอกาสเติบโตขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นมูลค่าที่พิจารณาจากที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และเครื่องจักรหรือสิ่งของต่างๆ นั้น จะต่ำกว่าอีกทั้งยังมีค่าเสื่อมราคา แม้ว่าที่ดินอาจจะมีมูลค่าสูงขึ้นได้ในกรณีที่อยู่ในทำเลที่ดี การเจรจาซื้อขายโรงแรมโดยการพิจารณาจากมูลค่าของทรัพย์สินเป็นรูปแบบการเจรจาที่ใช้กันทั่วไปในช่วงนี้และการบอกขายโรงแรมหลายแห่

2. ในช่วงที่ผ่านมายังบอกขายในราคาที่ลดลงจากมูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินได้ เพราะเจ้าของโรงแรมอยากขายออกให้เร็วที่สุด3.การเจรจาซื้อหุ้นบริษัทหรือเข้าลงทุนในบริษัทแบบ 100% การเจรจารูปแบบนี้จะไม่ได้แตกต่างจากการซื้อขายทรัพย์สินเท่าใดนัก เพราะมูลค่าของบริษัทจะพิจารณาจากมูลค่าของทรัพย์สินที่มีชื่อบริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่การซื้อขายแบบนี้สะดวกหรือว่าเป็นช่องทางที่นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ผ่านการถือครองหุ้นในบริษัท
อีกทั้งยังเป็นการเปิดทางให้กับกลุ่มของนักลงทุนหลายคนสามารถเข้ามาลงทุนร่วมกันได้ในโรงแรมเดียวกันผ่านการถือหุ้นในบริษัทตามสัดส่วนของเงินลงทุน

4. การเจรจาเพื่อซื้อหุ้นบางส่วนของบริษัทรูปแบบนี้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงแรมในสัดส่วนไม่มาก แต่จะเข้าไปเป็นหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท เพื่อที่จะได้เป็นเจ้าของโรงแรมแบบเบ็ดเสร็จ โดยรูปแบบนี้เหมือนเป็นการเข้าไปลงทุนร่วมกับเจ้าของโรงแรมในระยะสั้น เนื่องจากพวกเขาเข้าไปถือหุ้นโดยการลงทุนซื้อหุ้นบริษัทมาในราคาที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย นักลงทุนได้ชื่อว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดในบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงแรม และฝั่งของเจ้าของบริษัทเดิมก็ได้เงินมาส่วนหนึ่งในการนำมาบริหารจัดการซึ่งอาจจะไม่มาก แต่ก็อาจจะทำให้พวกเขาผ่านช่วงวิกฤตไปได้ ซึ่งเมื่อทุกอย่างปกติแล้ว ฝั่งของนักลงทุนอาจจะขายหุ้นคืนให้กับเจ้าของโรงแรมในราคาที่บวกกำไรไป ซึ่งฝั่งของเจ้าของโรงแรมก็ยินดีที่จะซื้อคืนเพราะไม่ได้อยากเสียโรงแรมไป

5.การเจรจาซื้อหุ้นบริษัทเพื่อรอเวลาขายต่อ รูปแบบการซื้อขายอาจจะเหมือนกับรูปแบบก่อนหน้านี้ เพียงแต่เมื่อเหตุการณ์ปกติหรือผ่านช่วงเวลานี้ไปสัก 2 – 3ปี โรงแรมดำเนินกิจการจนสร้างผลกำไรมากมาย และมีผลต่อเนื่องให้มูลค่าของโรงแรมเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเจ้าของเดิมที่อาจจะยังมีหุ้นอยู่ กับเจ้าของใหม่ที่เข้ามาซื้อหุ้นบริษัทบางส่วนในช่วงวิกฤตก็อาจจะบอกขายโรงแรมออกไปเพื่อเอาเงินที่ลงทุนกลับคืนพร้อมกับผลกำไรที่ได้จากมูลค่าโรงแรมที่เพิ่มขึ้น

6. การเจรจาเพื่อให้เงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น อาจจะไม่ใช่การซื้อโรงแรม แต่เป็นเหมือนการลงทุนระยะสั้น โดยเจ้าของโรงแรมไม่ได้อยากจะขายโรงแรมของตนเอง แต่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนในช่วงวิกฤตนี้ และไม่สามารถขอสินเชื่อธนาคารได้
หรือไม่มีช่องทางอื่นในการหาเงินทุนหมุนเวียนแล้ว รูปแบบนี้จะเหมือนการขายฝาก แต่อาจจะต่างกันที่เป็นการขายหุ้นในบริษัทให้กับนักลงทุนที่นำเงินมาให้ จากนั้นเมื่อทุกอย่างปกติก็จ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ให้กับนักลงทุน แล้วก็โอนหุ้นกลับมาเป็นของตนเองเหมือนเดิม

รูปแบบของการลงทุนในข้อ 1 – 5ซึ่งอาจจะมีเรื่องของการขายออกในอนาคต หรือมีช่องทางให้นักลงทุนได้เงินลงทุนพร้อมผลตอบแทนกลับคืนมาเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาเป็นปกติ เป็นรูปแบบของการลงทุนที่จะสามารถเห็นได้ในการลงทุนในโรงแรมที่อยู่ในทำเลที่ดี ทำเลที่ไม่สามารถพัฒนาหรือก่อสร้างโรงแรมรูปแบบนี้ได้อีกแล้วในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่นักลงทุนพิจารณาในการเลือกซื้อโรงแรม นอกจากจะอยู่ในทำเลดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าจริง ยังต้องเป็นโรงแรมที่มีรายได้รวมค่อนข้างสูงจากอัตราการเข้าพักสูงต่อเนื่องมาโดยตลอดก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด-19 โรงแรมหลายแห่งที่อยู่ในทำเลดีจึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ยิ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ในทำเลติดชายหาดที่มีหน้ากว้างไม่น้อย หรืออยู่ในทำเลใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งราคาที่ดินสูง ไม่สามารถซื้อที่ดินในราคาปัจจุบันเพื่อพัฒนาโรงแรมรูปแบบนี้ได้อีกแล้ว เพราะไม่สามารถได้รับผลตอบแทนที่น่าลงทุน โรงแรมที่ตรงกับเงื่อนไขเหล่านี้จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

แต่สุดท้ายแล้วการเจรจาอาจจะใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี เพราะฝั่งของผู้จะขายไม่ได้ต้องการขายในราคาที่ต่ำเกินไป ส่วนฝั่งของผู้จะซื้อก็มองว่าช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤตของโรงแรมจำเป็นต้องกดราคาลงมาให้ต่ำที่สุด อีกทั้งเมื่อซื้อไปแล้วต้องแบกรับภาระไว้อีก 1 – 2ปีหรือจนกว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก