ห้องเม่าปีกเหล็ก

Cost-push inflation แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน และผลกระทบต่อคนไทยในปี 2022

โดย Durant
เผยแพร่ :
87 views

Cost-push inflation แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน และผลกระทบต่อคนไทยในปี 2022

The risks to the economic outlook have increased substantially with the Russian invasion of Ukraine and are tilted to the downside.” “The war will have a material impact on economic activity and inflation through higher energy and commodity prices." Christine Lagarde, ประธานธนาคารกลางยุโรป (มีนาคม 2021)

หนึ่งในประเด็นทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงและถูกพูดถึงกันอย่างมากที่สุดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคือการปรับขึ้นราคาของสินค้าและบริการหลายชนิด จากรายงานอัตราเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์ในเดือนกุมภาพันธ์พบว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ 5.28% สูงสุดในรอบ 13 ปี โดยปัจจัยหลักของการเร่งตัวของเงินเฟ้อมาจากราคาด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นถึง 29.2%YOY ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.8% จากการปรับตัวในสินค้ากลุ่มอาหารทั้งในและนอกบ้าน (รูปที่ 1) File:Slide 1

EIC ประเมินว่า ในปี 2022 เศรษฐกิจไทยจะพบกับแรงกดดันเงินเฟ้อจากทางด้านอุปทานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแรงกดดันจากทิศทางราคาพลังงานโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นของหลายประเทศที่เริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 รวมถึงความเสี่ยงต่อความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์ของรัสเซีย-ยูเครน ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับสองของโลก นอกเหนือจากแหล่งโภคภัณฑ์หลายประเภทที่สำคัญต่อภาคการผลิตและภาคเกษตรของโลก

ความขัดแย้งในครั้งนี้ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่รัสเซียป้อนเข้าสู่ตลาดมีปริมาณลดลง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบมายังอัตราเงินเฟ้อไทยจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนจะยังไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานและวัตถุดิบ มายังผู้บริโภคได้เต็มที่ เนื่องจากความต้องการซื้อในประเทศยังซบเซา สะท้อนจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ขยายตัวน้อยกว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในช่วงหลัง (รูปที่ 2) File: Slide 2

ปัจจัยด้านพลังงานคิดเป็น 12.4% ของตะกร้าสินค้าที่ใช้คำนวณอัตราเงินเฟ้อของไทย และจากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 10% จะทำให้เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นอีกเฉลี่ย 1.5% (Percentage Points) โดยส่งผลกระทบทางตรงต่อดัชนีราคาด้านพลังงานที่ 1.2% (Percentage Points) และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคาสินค้าพื้นฐานบางชนิด (เช่น อาหารและค่าโดยสารหรือค่าขนส่ง) ที่ 0.3% (Percentage Points)

อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นแรงผลักด้านอุปทานตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 คือราคาเนื้อหมูที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู (African Swine Fever : ASF) ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาเนื้อหมูอาจมีการปรับตัวลงมาบ้างแล้ว แต่ราคาจะยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี

โดยเฉพาะหากเทียบกับการระบาดของ ASF ในจีนที่กินเวลามากกว่า 2 ปี ก่อนที่ระดับผลผลิตและราคาสุกรจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดย ASF มีส่วนทำให้ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ในจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น 77% ในปี 2019 และ 55.1% ในปี 2020 และการระบาดของ ASF ในฟิลิปปินส์และเวียดนามมีส่วนทำให้ราคาสุกรปรับตัวสูงขึ้นสูงถึง 39.3% และ 61.3% (รูปที่ 3) File: Slide 3

ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนในสังคมไม่มากก็น้อย โดยประชาชนทั่วไปจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

        1.อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงลดลง โดยปกติเมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นหากครัวเรือนต้องการซื้อสินค้าให้ได้จำนวนเท่าเดิมจะต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้น ดังนั้น หากครัวเรือนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น จะหมายถึงสามารถในการบริโภคที่ลดลง หรืออีกความหมายหนึ่งคือ “รายได้ที่แท้จริงลดลง” โดยในภาวะปกติ รายได้เฉลี่ยของแรงงานในประเทศจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับอัตราเงินเฟ้อ แต่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 กลับพบว่าอัตราเงินเฟ้อมีการเร่งแซงการเติบโตของรายได้เฉลี่ย และรายได้เฉลี่ยไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราเงินเฟ้อ

        ดังนั้น จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 แล้ว รายได้เฉลี่ยของแรงงานจะสามารถกลับมาขยายตัวทันอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นในปัจจุบันหรือไม่

       2.อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยมากที่สุด จากข้อมูลครึ่งปีแรกของปี 2021 พบว่า เงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อยหนักกว่าโดยเปรียบเทียบ โดยราคาอาหารที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังรายจ่ายของครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย (20% ที่มีรายได้ต่ำที่สุด) จะมีสัดส่วนรายจ่ายด้านอาหารอยู่ที่ 41% ของรายได้ ซึ่งสูงกว่าครัวเรือนกลุ่มอื่นๆ โดยค่าเฉลี่ยของรายจ่ายด้านอาหารของครัวเรือนทั้งหมดอยู่ที่ 32% ของรายได้ จะเห็นได้ว่า ในตัวเลขเงินเฟ้อที่ทางการรายงานออกมานั้นส่งผลกระทบต่อแต่ละครัวเรือนไม่เท่ากัน

 

โดย : อสมา เหลี่ยมมุกดา Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์

 


Durant