ประเทศไทย – ฟื้นตัวจากการสะดุด

สำหรับประเทศไทย ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี 2566 หลังการท่องเที่ยวและการส่งออกฟื้นตัวช้าก่อนหน้า อีกทั้งการใช้จ่ายของภาคเอกชนยังชะลอเพื่อรอประโยชน์จากมาตรการทางภาษีในช่วงต้นปี 2567 อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเร่งตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนของประเทศเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งการส่งออกยังยังสามารถขยายตัวได้สองหลักในเดือนม.ค. 2567 และเห็นการขยายตัวในวงกว้างทั้งจากสินค้าเกษตรและสินค้าภาคการผลิต ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากการใช้จ่ายในสินค้าทุน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
แม้ว่ากระแสมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคไทยจาก “Easy e-Receipt” ของรัฐบาลในเดือนม.ค. 2567 ยังคงไม่มากนัก แต่การใช้จ่ายของภาคเอกชนคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นได้ในเดือนก.พ. หรือ 2 สัปดาห์สุดท้ายของมาตรการ เนื่องจากสามารถรับสิทธิ์จากมาตรการดังกล่าวได้ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. -15 ก.พ. 2567 ด้านการใช้จ่ายของภาครัฐโดยเฉพาะด้านการลงทุนอาจเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ยังน่ากังวล เนื่องจากปรับตัวลดลงอย่างมากจากความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณฯปี 2567 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนของภาครัฐปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ครม.ปรับกำหนดการถกต่อร่างงบประมาณประจำปี FY2567 เร็วขึ้นจากกรอบเวลาเดิม ในช่วงวันที่ 3-4 เม.ย. 2567 มาเป็นวันที่ 20-21 มี.ค. 2567 ซึ่งจะช่วยทำให้การเบิกจ่ายเร็วขึ้นตั้งแต่เดือนเม.ย. และน่าจะช่วยฟื้นโมเมนตั้มทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการลงทุน
ตั้งแต่ต้นปีมา ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% และยืนยันว่านโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เราเห็นโอกาสมากขึ้นที่ ธปท. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bps ในไตรมาส 2/2567 ซึ่งอาจเกิดขึ้นเร็วในรอบการประชุมวันที่ 10 เม.ย. 2567 หลังจากที่เราเห็นการตัดสินใจของ กนง. ในการประชุมครั้งล่าสุดไม่เป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกเหนือนี้ เราคาดว่าในครึ่งหลังของปี 2567 จะมีกาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25bps เหลือ 2.00% จนถึงสิ้นปี 2567 ส่งผลให้เงินบาทอาจถูกกดดันจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้า
เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดอื่น ๆ เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวของกำไรและการประเมินมูลค่า เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกซื้อขายใกล้การประเมินมูลค่าตามปกติระยะยาว และคาดว่ากำไรจะเติบโตเพียงเล็กน้อยประมาณ 5% ในปี 2567 ขณะที่ไทยแม้ว่ากำไรไตรมาส 4/2566 ของตลาดจะออกมาน่าผิดหวังเป็นส่วนใหญ่และโมเมนตัมของกำไรลดลง QoQ แต่สาเหตุหลักมาจากรายการเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (big bath) ในบางบริษัทฯ ทำให้กำไรของตลาดลดลง
หลังจากที่ผลประกอบการปรับตัวลดลงประมาณ 13% ในปี 2566 ตลาดคาดว่ากำไรของภาพรวมตลาดไทยจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งถึง 16% ในปี 2567 นอกจากนี้ การประเมินมูลค่ายังน่าสนใจมากขึ้นจากการซื้อขายด้วย PE ล่วงหน้าที่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในระยะยาวเพียง 14 เท่า SET Index เพียงรอแรงผลักดันเชิงบวกมาจุดชนวนและดูเหมือนว่าจะมีปัจจัยเร่งเชิงบวกหลายประเด็นรออยู่ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า
