ห้องเม่าปีกเหล็ก

ระวังแรงขาย‘บินไทย’

โดย DREAM
เผยแพร่ :
105 views

โบรกชี้ระวังแรงขาย‘บินไทย’ หลังราคาพุ่งเกินพื้นฐาน จับตา ‘กลุ่มสหกรณ์’ ครบกำหนดล็อกอัป 

 

  • โบรกเกอร์หลายสำนักเตือนว่าราคาหุ้นการบินไทย (THAI) ที่พุ่งขึ้นแรงหลังกลับมาซื้อขายอีกครั้งในรอบ 4 ปีนั้น “ร้อนแรงเกินปัจจัยพื้นฐาน” และมีความเสี่ยงสูง
  • ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นในปัจจุบันคือ “สภาพคล่อง” และอารมณ์ของตลาด ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน แม้ผลประกอบการจะดีขึ้นจากการลดต้นทุนก็ตาม
  • นักวิเคราะห์แนะให้จับตาแรงเทขายหุ้นจาก “กลุ่มสหกรณ์” ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ถือหุ้นอยู่ โดยหุ้นบางส่วนจะครบกำหนดห้ามขาย (lock-up) ในอีก 6 เดือนข้างหน้า
  • คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงที่กลุ่มสหกรณ์จะเทขายหุ้นเพื่อทำกำไร เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำมาก (ประมาณ 3 บาท) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
  • บล.กสิกรไทย ระบุว่าผู้บริหารการบินไทยตระหนักถึงความเสี่ยงนี้และกำลังพยายามหาแนวทางเพื่อชะลอแรงขายที่อาจเกิดขึ้นหลังครบกำหนดห้ามขาย
  • บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างแพง โดยมีการซื้อขายที่ 6.6 เท่าของ EV/EBITDA และได้ปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ”

 

โบรกเตือน “การบินไทย” กลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้งในรอบ 4 ปี “ราคาร้อนแรงเกินพื้นฐาน” แฝงด้วยความเสี่ยง แนะจับตาแรงเทขาย “กลุ่มสหกรณ์” หลังครบกำหนดห้ามขายในอีก 6 เดือน “บล.บัวหลวง” ชี้ปัจจัยหลักดันราคา “สภาพคล่อง” แม้มีกระแสข่าวกองทุนซื้อแต่ยังไม่ชัดเจน “บล.กสิกรไทย” คาดผู้บริหารกำลังพยายามหาแนวทางชะลอแรงขายหลังครบกำหมดห้ามขาย “บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” มองราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างแพง

 

 

การกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อีกครั้งในรอบ 4 ปี ของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เมื่อ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา หลังหุ้น THAI ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายไปตั้งแต่ 25 ก.พ. 2564 ที่ราคาปิดสุดท้าย 3.32 บาท จากปัญหาด้าน “ฐานะการเงิน” และต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ หลังโดนพิษ “วิกฤติโควิด” ถล่มหลัก

แต่ปัจจุบันหุ้น THAI กำลังถูกสปอร์ตไลท์ส่องตั้งแต่วันแรกกลับมาซื้อขาย สะท้อนราคาหุ้นพุ่งทะยานขึ้นทำ “จุดสูงสุด” ตั้งแต่กลับมาซื้อขายอีกครั้งอยู่ที่ 19.40 บาท (ณ วันที่ 14 ส.ค.68) หากเทียบจากราคาปิดสุดท้ายราคาหุ้น THAI พุ่งกว่า 484.33%

ดังนั้น ด้วยระดับความร้อนแรงของหุ้น THAI จึงเริ่มมีเสียงเตือนจาก “นักวิเคราะห์” หลากหลายสำนักว่า ราคาเข้าข่ายแพงเกินปัจจัยพื้นฐานแล้ว และอาจจะถึงจุดที่ไปต่อไม่ไหวหรือป่าว และอีกหนึ่งจุดที่กำลังส่งสัญญาณอันตรายสร้างความกังวลมากขึ้นนั่นคือหุ้นบางส่วนของ “กลุ่มสหกรณ์” ครบกำหนด “ปลดล็อก” การห้ามขาย (lock-up) ภายใน 6 เดือน อาจจะก่อให้เกิดแรงขายจำนวนมาก และกดดันราคาหุ้นในตลาด แม้ผลประกอบการครึ่งแรกจะออกมา“โดดเด่น”แต่ยังมองว่าระดับราคาปัจจุบันมีความผันผวนสูง

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันราคาหุ้น THAI ที่ปรับขึ้นมานั้นถือว่าเกินพื้นฐานเมื่อพิจารณาจากค่าพีอี และ Valuation  หรือการเทียบกับหุ้นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาคือ สภาพคล่อง และภาวะอารมณ์ตลาด และมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีกองทุนเข้ามาถือหุ้นแม้จะยังไม่แน่ชัด

ทั้งนี้ ภาพรวมกำไรของ THAI ยังดูดี เนื่องจากบริษัทมี “การลดต้นทุน” อย่างมาก ทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร และเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น แต่ระยะยาวทิศทางอุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยวโดยรวมยังไม่ได้ดีมาก

“ราคาหุ้นปัจจุบันได้ Price in ของการฟื้นตัวและการลดต้นทุนไปมากแล้ว และมองว่ามีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของการล็อกอัพของหุ้น หากครบกำหนด 6 เดือน มีแนวโน้มสูงที่นักลงทุนจะเทขายทำกำไรออกมา”

นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาหุ้น THAI ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลให้นักลงทุน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเทขายหุ้นเมื่อครบกำหนด 6 เดือน ซึ่งมองว่ามีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนบางส่วนจะทำการขายออกไป โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 12.50 บาท

ทั้งนี้ ผู้บริหารการบินไทยเองก็ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และถือเป็นการบ้านที่สำคัญที่ต้องพยายามหาวิธีป้องกันไม่ให้หุ้นถูกเทขายออกมาทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว และกำลังพยายามหาแนวทางแก้ไขอยู่สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เข้าเก็งกำไรจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวัง

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 2568 ทางผู้บริหารได้ให้ข้อมูลว่า อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารยังคงอยู่ในระดับประมาณ 78-80% ราคาตั๋วโดยสารต่อหน่วยน่าจะใกล้เคียงช่วงครึ่งแรก ในแง่ปริมาณที่นั่งต่อ 1 กิโลเมตร คาดจะเติบโตประมาณ 1-3%

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น THAI ราคาปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.2568) โดยมองราคาปัจจุบันเกินกว่ามูลค่าที่เหมาะสมที่เคยประเมินไว้มากพอสมควรแม้ว่าผลกำไรในไตรมาส 2 ปี 2568 จะแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มาก โดยมีกำไรเป็นหมื่นล้านบาท แต่ในปัจจุบันหุ้น THAI มีการซื้อขายอยู่ที่ 6.6 เท่า ของ EV/EBITDA ซึ่งมองว่า ค่อนข้างแพงและมีอัปไซด์จำกัด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของหุ้นที่ติดระยะเวลาห้ามขาย ผู้ลงทุนบางส่วนอาจเข้าใจผิดว่าติดล็อกเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วมีบางส่วนที่ติดล็อคแค่ 6 เดือน จากกลุ่มเดิมที่ไม่สามารถขายได้เมื่อ THAI กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 13.40 บาท ซึ่งราคา 13.40 บาท เทียบเท่ากับ EV/EBITDA ที่ 6.6 เท่า และการซื้อขายที่เกินกว่าระดับนี้ถือว่าแพงเกินไปมาก จากที่เคยแนะนำ “ซื้อ” แต่ปัจจุบันได้ปรับคำแนะนำเป็น “ถือ”

สำหรับ กลุ่มสหกรณ์ที่เป็นเจ้าหนี้และถือหุ้น THAI อยู่ โดยเฉพาะหุ้นที่กำลังจะครบกำหนด 6 เดือน และจะถูกปลดล็อกอาจมีการเทขายเกิดขึ้น จากราคาต้นทุนกลุ่มนี้อยู่ที่ประมาณ 3 บาท ซึ่งต่ำมากการเทขายของสหกรณ์จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นระยะสั้นได้

 

ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1194974

 


DREAM