ตี๋โบ๊โผล่หัวคุย

UN เผยภัยพิบัติทางธรรมชาติอาจส่งผลประชาชนในเอเชีย-แปซิฟิกเผชิญความยากจน

คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับความเสี่ยงจากภัยพิบัตทางธรรมชาติที่อาจทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เผชิญกับความยากจน

นายชามฉัด อัคตาร์ เลขาธิการ ESCAP กล่าวว่า "ภัยพิบัติทางธรรมชาติสามารถทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะผลักดันให้ประชาชนเหล่านี้เผชิญกับภาวะยากจน หรือทำให้ความยากจนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น"

รายงานเกี่ยวกับภัยธรรมชาติในเอเชีย-แปซิฟิกประจำปี 2560 ของ ESCAP ชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่มีขีดความสามารถในการรับมือและตอบสนองต่อภัยธรรมชาติน้อยที่สุดนั้น จะเผชิญกับผลกระทบมากที่สุด โดยระหว่างปี 2543-2558 มีผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติในประเทศที่มีฐานรายได้ต่ำถึงต่ำปานกลาง มากกว่าประเทศที่มีฐานรายได้สูง เกือบ 15 เท่า

ESCAP ประมาณการว่า 40% ของความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติในระหว่างปี 2558-2573 นั้น จะเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยภูมิภาคแห่งนี้มีตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในสัดส่วน 36% ของ GDP โลก นอกจากนี้ ESCAP ระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาในหมู่เกาะต่างๆ จะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจมากที่สุด โดย GDP ของประเทศเหล่านี้จะหดตัวลงเกือบ 4% ต่อปี

เกศรามั่นใจตลาดหุ้นดีต่อเนื่องถึงปีหน้าจากปัจจัยในประเทศหนุน แนะอาศัยช่วงหุ้นขึ้นปรับพอร์ต

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ปรับเพิ่มขึ้นไปยืนระดับ 1,700 จุด ได้รับปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศจัดเลือกตั้งไนช่วงปลายปี 61 และยังมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เติบโตขึ้นในระดับที่ดี และการลงทุนภาครัฐที่เริ่มทยอยออกมา ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต และหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม

อีกทั้งยังมองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 61 ยังมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ ซึ่งจะมีปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคการส่งออกที่ดี การบริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น และการเริ่มลงทุนของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้น และมีผลต่อการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น แนะนำนักลงทุนหันกลับมาบริหารจัดการพอร์ตของตนเอง โดยการดูผลตอบแทนของหุ้นแต่ละตัวที่ถืออยู่ว่าเหมาะสมตามที่ต้องการแล้วหรือไม่ ประกอบกับ พิจารณาแนวโน้มการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทว่าสอดคล้องไปกับปัจจัยพื้นฐานหรือไม่ ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทที่สนใจ และจะต้องพิจารณาในการบริหารจัดการตามความเหมาะสมของนักลงทุนแต่ละรายควบคู่กันไป

“ดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คนส่วนใหญ่ชอบมองดัชนีเพิ่มขึ้นเป็น Good Timing แต่ตอนนี้ในช่วงที่ดัชนีเพิ่มขึ้น สิ่งที่เราต้องเลือกทำคือการกลับไปดูหุ้นในพอร์ตของตัวเองว่ายังให้ผลตอบแทนดีอยู่หรือไม่ มีผลการดำเนินงานที่ดีและเติบโตสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ ไหม ซึ่งนักลงทุนควรใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงและปรับพอร์ตของตัวเองตามความเหมาะสม"นางเกศรา กล่าว

ทูตตุรกีพบนายกฯ รับปากช่วยผลักดันนักธุรกิจเข้ามาลงทุนใน EEC หวังไทยหนุนความร่วมมือกรอบอาเซียน

พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนางเอฟเรน ดาเดเลน อักกุน (H.E. Ms. Evren Da?delen Akg?n) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ในนามของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย และแสดงความขอบคุณตุรกีที่ได้มีสาส์นแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสที่ขึ้นทรงราชย์ด้วย

ทางด้านความสัมพันธ์ นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ต่างรู้สึกยินดีที่ไทยและตุรกีมีความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ราบรื่นและใกล้ชิดโดยในปี 2561 จะครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ จึงต่างหวังว่าจะเป็นปีที่เริ่มต้นความร่วมมือระหว่างกันในมิติใหม่ๆมากยิ่งขึ้น ซึ่งนายกฯขอให้เป็นการดำรงตำแหน่งครั้งแรกของนางเอฟเรน เป็นไปด้วยความราบรื่นและเสริมสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างไทยและตุรกีให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น

ด้านเอกอัครราชทูตตุรกีฯ กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ซึ่งอยู่ในช่วงสัปดาห์ของการครบรอบหนึ่งปีการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และกล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตในประเทศไทยเป็นประเทศแรก และยืนยันว่าจะเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้เพิ่มมากขึ้นทั้งทางด้านความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย การเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกัน การศึกษา และการท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ยังหารือในเรื่องความร่วมมือทางด้านการลงทุนและความร่วมมือในระดับพหุภาคี นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมตุรกีที่มีอุตสาหกรรมก่อสร้างขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ของโลก จึงขอให้เอกอัครราชทูตตุรกีฯ ผลักดันให้นักธุรกิจตุรกีเข้ามาลงทุนในด้านนี้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC)

ทางเอกอัครราชทูตตุรกีฯ ยินดีสนับสนุนอย่างยิ่งให้นักธุรกิจตุรกีเข้ามาลงทุนใน EEC โดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเพื่อขอข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป ในเรื่องความร่วมมือในระดับพหุภาคี เอกอัครราชทูตตุรกีฯ กล่าวชื่นชมไทยว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระดับภูมิภาค และนโยบาย “Thailand+1” สอดคล้องกับนโยบายของตุรกีที่ขยายความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียน ตุรกีจึงหวังว่าไทยจะให้การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างตุรกีในกรอบอาเซียนมากยิ่งขึ้น