ตามที่ผู้โพสต์เคยให้ความเห็นมาแล้วหลายครั้งหลายหนแล้วว่า :
1) ในสภาวะตลาดกระทิง : แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้น จะเป็นตัวชี้นําแนวโน้มตลาดหุ้นขาขึ้น
2) ในสภาวะตลาดหมี : แนวโน้มตลาดหุ้นขาลง จะเป็นตัวชี้นําแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาลง
และ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัจจุบัน ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาวะกระทิง เพราะ แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารต่างๆทั่วโลกเป็นขาขึ้น แต่ปัญหาเฉพาะตัวของไทยคือความไม่ชัดเจนว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบหลายปีเมื่อไหร่? ในขณะที่ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ของสหรัฐอเมริกามีความชัดเจนว่าได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ในปีนี้ไปแล้ว 1 ครั้ง และ ตลาดก็คาดหมายกันแล้วว่าทั้งปีจะปรับ 3 - 4 ครั้ง ผลที่เกิดขึ้นก็คือความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ย Fed Fund Rate กับ ดอกเบี้ยนโยบายของไทย ยิ่งนับวันจะห่างขึ้นเรื่อยๆ และ เป็นผลให้เงินทุนไหลออกโดยการขายของต่างชาติอย่างมากมายมหาศาล ( ต่างชาติขายหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีนี้คือปี พ.ศ 2561 จนถึงเมื่อวานนี้ วันที่ 8 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 เป็นจํานวนทั้งสิ้น - 138,250.53 ล้าน บาท )
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อรัฐบาลไทยก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่าเศรษฐกิจไทยนับวันจะดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ( เติบโต 4 - 5% ) และ กําหนดการเลือกตั้งก็ชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ ( เดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ 2562 ) เพราะฉะนั้น ดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็น่าจะปรับขึ้นได้ซะทีในอีกไม่นานนี้ ทั้งนี้เพื่อหยุดการไหลออกของเงินทุน และ หยุดการขายหุ้นไทยของต่างชาติ
และเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะปรับฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ กลับมาเป็นขาขึ้นต่อไปได้ ซึ่งหุ้นนําตลาดต่อไปน่าจะเป็นหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะ โครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท 2 ระยะ ดังนี้คือ :
1) ในระยะสั้น : รัฐบาลไทยน่าจะเร่งประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเรียกคะแนนนิยมกับประชาชนชาวไทย ตลอดจนรัฐบาลและประชาชนชาวต่างชาติ
2) ในระยะยาว : รัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ 2562 น่าจะดําเนินนโยบายโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาทอย่างต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 เพราะ เป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย และ เมื่อถึงครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 ขาขึ้นรอบใหญ่ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็น่าจะสิ้นสุดลง เพราะ 80% ของโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท น่าจะมีการประมูลและรู้ผลแล้ว
และเมื่อถึงตอนนั้น แนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นก็น่าจะสิ้นสุดลงด้วย เพราะ Fed Fund Rate ได้ปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดในรอบใหญ่รอบนี้ที่ 4.25% ก่อนที่ฟองสบู่โลกจะแตกเพราะปัญหาหนี้สินโลกที่มากมายมหาศาล และ ไม่สามารถที่จะทนต่อแรงกดดันต่อสภาวะดอกเบี้ยที่สูงได้
หมายเหตุ : 1) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนแบบ มุ่งเน้น ( Focus ) ใน อนุพันธ์ ( Derivatives ) ของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ( ITD-W1 ) และ/หรือ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ( ITD, CK, STEC และ UNIQ ) ขาขึ้นรอบใหญ่เนื่องจากนโยบายโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน บาท ของรัฐบาลไทย ( ครึ่งแรกของปี พ.ศ 2561 ไปจนถึง ครึ่งหลังของปี พ.ศ 2563 ) , การลงทุนสภาวะตลาดหมีรอบใหญ่เนื่องจากฟองสบู่โลกแตกเมื่อ Fed Fund Rate ขึ้นไปยืนที่ระดับ 4.25% โดยการ Short Set 50 Index Futures หรือ Set 50 Index Options อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ทั้งสองอย่าง ในตลาด TFEX ในประเทศไทย ( ครึ่งแรกของปี พ.ศ 2564 ไปจนถึง ครึ่งหลังของปี พ.ศ 2564 ) และ การลงทุนใน อนุพันธ์ ( Derivatives ) ของหุ้นกลุ่มถ่านหิน ( หรือ Derivatives ของ globalCOAL NEWC และ อื่นๆ ) และ/หรือ หุ้นกลุ่มถ่านหิน ( PT Adaro Indonesia หรือ PT Kaltim Prima Coal และ อื่นๆ ) ขาขึ้นรอบใหญ่เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเติบโตดี ( เกิน 7% ) หลังจากฟองสบู่โลกแตกในปี พ.ศ 2564 ( ครึ่งแรกของปี พ.ศ 2565 ไปจนถึง ครึ่งหลังของปี พ.ศ 2570 ) ได้ใน longtunbysak.blogspot.com
2) สําหรับอนุพันธ์ของหุ้นกลุ่มถ่านหิน และ หุ้นกลุ่มถ่านหิน สามารถซื้อขายได้ที่ CME ( Chicago Merchantile Exchange ) และ ICE ( Intercontinental Exchange ) ในประเทศสิงคโปร์ ( Derivatives ของ globalCOAL NEWC และ อื่นๆ ) และ ตลาดหุ้นประเทศอินโดนีเซีย ( PT Adaro Indonesia หรือ PT Kaltim Prima Coal และ อื่นๆ ) ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะ Link กันหมดเพราะในปัจจุบันมีการซื้อขายหุ้น ASEAN 40 หรือ หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 40 ตัวแรกใน Asean แล้ว
ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนของผู้โพสต์ดังกล่าวข้างต้นเป็นการเลียนแบบมาจากควอนตัมฟันด์ของ จอร์จ โซรอส และ จิมโรเจอร์