บริษัทเจ้าของ “ปั๊มน้ำมัน” ในตลาดหุ้น
เมื่อไทยมีวันหยุดยาว…จะหนุนผลงานโตเด่น?

.
ในช่วงเทศกาลหยุดยาว นักลงทุนหลายๆคน คงไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างคับคั่ง จนมองไปทางไหนของแหล่งท่องเที่ยวก็พบกับผู้คนจำนวนมาก ซึ่งการท่องเที่ยวก็มาพร้อมกับการเดินทาง การเดินทางก็มาพร้อมกับ “ค่าน้ำมัน” ดังนั้นคอลัมน์ “โพยหุ้น” ประจำวันจันทร์ จะพานักลงทุนมาสำรวจความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน หรือที่เราเรียกกันว่า หุ้นปั๊มน้ำมันนั่นเอง
.
ล่าสุดนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไตรมาส 1/66 เฉลี่ยอยู่ที่ 160.85 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าในครึ่งปีหลังการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศอย่างเห็นได้ชัด
.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงแรงงานรายงาน การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงช่วงไตรมาส 1/66 ดังกล่าว หากดูรายประเภท น้ำมันอากาศยาน เพิ่มขึ้น 95.2%, NGV เพิ่มขึ้น7.0%, เบนซิน เพิ่มขึ้น 6.6%, น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น 6.8%, ดีเซล เพิ่มขึ้น 0.2% ยกเว้น LPG ลดลง 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
ทั้งนี้ประเมินการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง NGV เบนซิน ดีเซลที่ออกมาเติบโตผสานกับแนวโน้มช่วงไตรมาส 2/66 ดีต่อหนุนจากช่วงสงกรานต์ และกิจกรรมเศรษฐกิจที่ยังเติบโต เป็นการยืนยัน ภาพบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน อาทิ OR, PTG
.
โดย OR แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 26 บาท มองหุ้นผ่านจุดต่ำสุด บนภาพการคุมค่าการตลาดเริ่มผ่อนคลาย หนุน Margin ฟื้นตัว และดีเชิงเปรียบเทียบกับกลุ่มโรงกลั่น ที่กดดันจากค่าการกลั่นปรับฐาน ปัจจุบันซื้อขาย PER23F ที่ 19 เท่า ต่ำกว่าอดีต เคยซื้อขายสูงกว่า 30 เท่า
.
ขณะที่หุ้น PTG แนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย 17 บาท ซึ่งค่าการตลาดน้ำมันและธุรกิจ palm complex ทยอยดีขึ้นในไตรมาส 2/66
.
ส่วนมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เนื่องจาก โอกาสในการเข้าตรึงค่าการตลาดน้ำมันโดยรัฐบาลชุดใหม่ลดลง แนวโน้มกำไรระยะสั้นที่สดใส และประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศฝั่งตะวันตก
.
โดยภายใต้สภาพแวดล้อมดังกล่าวคาดว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกน้ำมันน่าจะได้รับการปรับเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้น อย่างไรก็ตาม downside ที่สำคัญ ได้แก่ ค่าสาธารณูปโภคและ ค่าแรงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
.
ทั้งนี้คาดว่ากำไรไตรมาส 1/66 ของ OR และ PTG จะฟื้นตัวอย่างมาก โดยคาด OR จะอยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนสุทธิที่ 744 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 และ PTG คาดอยู่ที่ 230 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนสุทธิ 4 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 เนื่องจากค่าการตลาดน้ำมันขายปลีกฟื้นตัวเป็น 1.0 บาท/ลิตรสำหรับ OR และ 1.75 บาท/ลิตรสำหรับ PTG
.
อีกทั้งอุปสงค์น้ำมันในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A)/ลิตรที่ลดลงตามฤดูกาล รวมถึง การที่ไม่มีกำไร/ ขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่มีนัยสำคัญ
.
หากมองไปยังไตรมาส 2/66 คาดว่ากำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากค่าการตลาดน้ำมันดีเซลและเบนซินที่ปรับดีขึ้นอีก ลิตรละ 0.2 บาท ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง จากช่วง เทศกาลวันหยุดยาวและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
.
หากประมาณการอย่างคร่าวๆ กำไรของทั้ง 2 บริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในไตรมาส 2/66 เมื่อกับกับไตรมาส 1/66 จึงแนะนำ “ซื้อ” OR ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 25.50 บาท และแนะนำ “ซื้อ” PTG ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 16.20 บาท
.
ส่วน ESSO บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ ESSO โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2566 เอาไว้ที่ 11.40 บาท แม้ว่าจะมีประเด็นที่กดดันราคาหุ้น ESSO ไปจนถึงครึ่งหลังปี 66 แต่มองว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6.3% ในปี 2566 และ 5.6% ในปี 2567 ยังคงน่าสนใจ
.
ประเด็นการที่จะ delist หุ้น ESSO ออกจาก SET นั้น BCP จำเป็นต้องซื้อหุ้นให้ได้ 85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แต่เราเชื่อว่า BCP จะไม่สามารถซื้อหุ้น ESSO ได้ครบตามเกณฑ์ดังกล่าว จากการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ ESSO ที่ถือหุ้น 34.01% ในราคาเดียวกับที่เสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ESSO
.
ถัดมา BCP บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ( ประเทศไทย ) จำกัด ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 ถูกกระทบจากค่าการกลั่นน้ำมันที่ลดลงต่อ เพราะวิตกเศรษฐกิจโลกถดถอย และมีอุปทานใหม่เข้ามา โดยแนะนำซื้อ BCP โดยให้ราคาพื้นฐาน 43 บาท ปัจจัยติดตาม คือ การเข้าซื้อ ESSO ผลดีจากโครงการ 3E และการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (สถานีบริการ เครื่องดื่ม ฯลฯ)
.
สำหรับ SUSCO ล่าสุดยังไม่มีการประเมินจากนักวิเคราะห์