เฮดจ์ฟันด์สตาร์ทอัพใช้ AI แทนนักวิเคราะห์ โชว์ผลตอบแทนเหนือกว่าตลาด
.
Minotaur Capital บริษัทเฮดจ์ฟันด์สตาร์ทอัพจากซิดนีย์ กำลังเป็นที่จับตามอง หลังใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แทนนักวิเคราะห์ และสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 6 เดือนแรกของการดำเนินงาน

.
บริษัทก่อตั้งโดย อาร์มินา โรเซนเบิร์ก อดีตผู้จัดการกองทุนให้มหาเศรษฐีวงการเทคฯ Mike Cannon-Brookes และเคยดูแลฝ่ายวิจัยหุ้นขนาดเล็กของ JPMorgan Chase ตั้งแต่อายุ 25 ปี และ โทมัส ไรซ์ อดีตผู้จัดการกองทุนที่ Perpetual
.
Minotaur Capital ทำผลตอบแทนได้ 13.7% ในช่วง 6 เดือน จนถึงเดือนมกราคม เทียบกับดัชนี MSCI All-Country World Index ที่เพิ่มขึ้นเพียง 6.7% โดยที่บริษัทไม่มีนักวิเคราะห์เลย เนื่องจาก AI ทำงานได้รวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
.
“ค่าใช้จ่ายของ AI อยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของเงินเดือนนักวิเคราะห์ระดับเริ่มต้น” โรเซนเบิร์ก วัย 37 ปี กล่าว
------
AI เปลี่ยนเกมวงการเฮดจ์ฟันด์
Minotaur เป็นหนึ่งในเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์หุ้นทั่วโลก โดยโมเดล AI ของบริษัทสามารถอ่านข่าวได้ถึง 5,000 บทความต่อวัน และสรุปเป็นรายงานยาว 2,000 คำเกี่ยวกับหุ้นที่มีศักยภาพในการ เพิ่มมูลค่า 2 เท่าภายใน 3 ปี หรือเติบโต 10 เท่าใน 10 ปี
.
กองทุนนี้คิดค่าธรรมเนียมบริหาร 1.5% และค่าธรรมเนียมผลตอบแทน 20% ของกำไรที่ทำได้ โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีเงินลงทุนภายใต้การบริหารราว 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
------
ใช้ข้อมูลผสมผสานระหว่าง AI และการวิเคราะห์เชิงลึก
โรเซนเบิร์กและไรซ์เคยมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน แต่ต่างเคยทำกำไรจากหุ้น Zoom ช่วงโควิด-19 โดยเธอสัมภาษณ์ทีมขายของ Zoom เพื่อดูแนวโน้มการใช้งานขององค์กร ขณะที่ไรซ์เขียนโค้ดเพื่อตรวจสอบว่ามีบริษัท Fortune 500 กี่แห่งที่ใช้ Zoom ปรากฏว่าทั้งคู่เห็นแนวโน้มเดียวกัน และลงทุนจนได้กำไรสูง.
แนวทางผสมผสานนี้ยังคงถูกใช้ในปัจจุบัน โดยล่าสุด Minotaur มองว่า หุ้น Prysmian ผู้ผลิตสายเคเบิลใต้ทะเลของอิตาลี มีโอกาสเติบโตสูง หลังจากโรเซนเบิร์กได้ศึกษาธุรกิจนี้จากการทำงานที่สำนักงานของ Cannon-Brookes ซึ่งเคยลงทุนในโครงการส่งไฟฟ้าจากออสเตรเลียไปสิงคโปร์ มูลค่า 24,000 ล้านดอลลาร์
.“ข้อมูลในโลกทุกวันนี้มีมากเกินไปจนคนวิเคราะห์ไม่ไหว AI จึงช่วยคัดกรองบริษัทที่อยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนสำคัญ จากนั้นเราค่อยตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่” โรเซนเบิร์กกล่าว
.ถึงแม้ AI จะช่วยให้เฮดจ์ฟันด์ลดต้นทุนและทำกำไรได้ดีขึ้น แต่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในระยะยาวว่าจะแข่งขันกับตลาดได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
.
ที่มา : The Japan Times
https://web.facebook.com/share/p/15g4S5J3q8/