‘วังวนหนี้’ โลก ระเบิดเวลาลูกใหญ่
วิกฤติหนี้สาธารณะทั่วโลกกำลังกลายเป็น “ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจลูกใหม่” ที่รอวันปะทุ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักอย่าง G7
ความกังวลนี้สะท้อนชัดขึ้นเมื่อ “มูดี้ส์” ได้ประกาศลดเครดิตระดับ Triple-A ของสหรัฐลงเป็น Aa1 เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากความวิตกต่อหนี้สาธารณะและภาวะขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง การปรับลดอันดับนี้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายชี้ตรงกันว่า แผนงบประมาณในอนาคตมีแนวโน้มจะทำให้หนี้ภาครัฐของสหรัฐพุ่งสูงขึ้นอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า โดย มูดี้ส์ คาดการณ์ว่าหนี้รัฐบาลจะสูงถึง 134% ของ GDP ภายในปี 2578
สถานการณ์หนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสหรัฐเท่านั้น แต่ประเทศหลักในกลุ่ม G7 กำลังเผชิญความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน “ญี่ปุ่น” มีสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงถึง 255% ต่อ GDP และความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในภาวะเงินเฟ้อจะยิ่งเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล ส่วน “ฝรั่งเศส” ถือเป็นประเทศที่น่ากังวลสุดในกลุ่ม G7 เนื่องจากภาระหนี้ที่พุ่งสูงถึง 114% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ต้องปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ขณะที่ “สหราชอาณาจักร” ก็เผชิญกับหนี้สาธารณะสูงถึง 97% ต่อ GDP และมีต้นทุนการกู้ยืมและอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในกลุ่ม G7
ผลกระทบจาก “วังวนหนี้” ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วย่อมส่งแรงกระแทกมาถึงตลาดเกิดใหม่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รายงานจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ(IIF) ชี้ว่า ประเทศตลาดเกิดใหม่มีความอ่อนไหวต่อระดับหนี้ที่สูงขึ้นของสหรัฐ เนื่องจากเงินลงทุนกว่า 60% กระจุกตัวอยู่ในสหรัฐและยุโรป ทำให้แหล่งเงินทุนพร้อมที่จะไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีจำกัดเพียงไม่ถึง 7% สภาวะนี้จึงสร้างแรงกดดันและจำกัดพื้นที่ทางการคลังของประเทศเล็กที่ต้องรับมือกับความผันผวนของตลาดโลก
สำหรับ “ไทย” แม้หนี้สาธารณะล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2568 จะอยู่ที่ 64.49% ต่อจีดีพี ซึ่งยังต่ำกว่าเพดานหนี้ที่ 70% แต่ระดับหนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากที่เคยต่ำกว่า 40% ก่อนโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ การจัดเก็บรายได้พลาดเป้า ที่สำคัญการใช้จ่ายภาครัฐกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้แผนการคลังระยะปานกลางมีแนวโน้มว่าหนี้สาธารณะจะชนเพดาน 70% เร็วขึ้นถึง 2 ปี คือในปี 2570 สถานการณ์ที่ว่านี้อาจส่งผลต่อมุมมองของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จึงออกมาเตือนว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิดได้ลดพื้นที่ทางการคลังของไทยลงอย่างมาก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่การคลัง เพื่อลดระดับหนี้และรองรับ “ช็อกครั้งใหม่” ที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยตกอยู่ใน “ภาวะวิกฤติหนี้” เหมือนหลายๆ ประเทศ ภาครัฐต้องปฏิรูปการคลังอย่างจริงจังก่อนจะเกิดเป็นวิกฤติ โดย IMF แนะให้รัฐบาลไทย ลดหนี้สาธารณะลงต่ำกว่า 60% ของจีดีพีในระยะกลาง และนำเพดานหนี้ 60% กลับมาใช้ใหม่เพื่อรักษากลไกทางการคลังในอนาคต นอกจากนี้ ควรสร้างความโปร่งใสทางการคลังเพื่อหลีกเลี่ยง “หนี้ที่ไม่คาดคิด” โดยเฉพาะการกู้เงินนอกงบประมาณ เราเห็นด้วยว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมีความจำเป็น แต่การปฏิรูปการคลัง บริหารหนี้สาธารณะให้ยั่งยืนยังคงเป็นก้าวที่สำคัญสุด เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางวิกฤติหนี้โลกที่กำลังคุกคาม!
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1200077