PTTGC เมื่อแนวโน้ม และโอกาสของธุรกิจ
กำลังสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโต
.
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นขนาดใหญ่ที่อาจจะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนในด้านของผลการดำเนินงานงวดปี 65 ที่ผลการประกอบการออกมาแล้วท้ายที่สุดมีผลพลิกขาดทุนสุทธิกว่า 8,752 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากรายการบัญชี
.
โดยมีปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการพลิกมาขาดทุน เพราะผลกระทบของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนได้ส่งผลกระทบต่อความผันผวนอย่างรุนแรงของทั้งราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทำให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 จึงต้องบันทึกผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงในปี 65 ไปกว่า 23,057 ล้านบาท
.
ทั้งนี้ หากดูในอีกด้าน PTTGC มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ) ในปี 65 อยู่ที่ระดับ 18,984 ล้านบาท
.
ขณะที่ในส่วนของยอดขายจะเห็นได้ว่า มีรายได้จากการขายรวม 678,267 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 46% จากในปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดประเทศทั่วโลกทำให้ความต้องการในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน
.
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนกังวลกำลังจะหมดไป หลังจากที่นักวิเคราะห์หลายแห่งให้ความเห็นว่าแนวโน้มผลประกอบการจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ และแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีจะฟื้นตัวขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ เช่น HDPE/PP มีดาวไซต์ที่ค่อนข้างจำกัด รวมถึงจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น
.
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ผลการดำเนินงานปี 66 จะพลิกกลับกำไรอยู่ที่ 13,044 ล้านบาท โดยคาดว่าผลการดำเนินงานยังคงมาจากธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลัก เนื่องจากไม่มีแผนการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นส่งผลให้คาดว่าจะสามารถใช้อัตรากำลังการผลิตได้เต็มที่
.
รวมถึงประเด็นที่ส่งผลให้กำไรบรรทัดสุท้ายของ PTTGC พลิกเป็นขาดทุนจากในปี 65 จากการที่ป้องกันความเสี่ยงมีแนวโน้มที่จะลดลงเนื่องจาก PTTGC จะเปลี่ยนรูปแบบการเข้าทำ hedging เป็นการทยอยเปิดสถานะมากขึ้น จากเดิมที่จะเปิดสถานะป้องกันความเสี่ยงในปริมาณที่ค่อนข้างสูงและเข้าทำล่วงหน้าค่อนข้างนาน
.
อีกทั้งการที่ส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบที่ได้แรงหนุนจากการกลับมาเปิดประเทศของจีน โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานที่อุปสงค์ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนเกิด COVID
.
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 66 ยังเป็นช่วงที่โรงกลั่นทั่วโลก และในภูมิภาคปิดซ่อมบำรุงกันค่อนข้างมาก แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนในปี 66 ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะน้ำมันดีเซล
.
[ธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มฟื้นตัวขึ้น]
สำหรับในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดการณ์ไว้ว่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์ที่ส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha อยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับระต่ำในช่วงปี 65
.
ขณะที่อุปทานส่วนเพิ่มในปี 66 มีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงจากปีก่อน ประกอบกับอุปสงค์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน ทำให้คาดว่าส่วนต่างราคาของ HDPE/PP มีดาวไซส์ที่จำกัด
.
นอกจากนี้คาดว่า Olefin intake ของ PTTGC จะมีสัดส่วนการใช้อีเทนกลับมาอยู่ในระดับราว 40% ในช่วงครึ่งหลังปี 66 จากการเร่งกำลังการผลิตก๊าซในอ่าวมากขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์สายอะโรมาติกคาดว่าส่วนต่างราคาจะทรงตัวจากปีก่อน เนื่องจากอุปสงค์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวมากขึ้น แต่คาดว่าจะถูกหักล้างจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาค่อนข้างมาก
.
ดังนั้นบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จึงปรับราคาพื้นฐานปี 66 ขึ้นมาอยู่ที่ 62 บาท อ้างอิง PBV 0.93x (ค่าเฉลี่ย 5 ปี ) และให้คำแนะนำเป็น “ซื้อ”
.
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีมุมมองสัญญาณเป็นบวกของทิศทางธุรกิจในปี 66 จะฟื้นตัวจากปีก่อน ทั้งในฝั่งปิโตรเคมี ที่สายโอเลฟินส์ได้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น และอัตรากาไรฟื้นตัว ตามการปิดซ่อมลดลง, ต้นทุน feedstock ลดลง และ oversupply ที่รุนแรงน้อยลงจากความต้องการใช้ในจีนฟื้นตัว
.
ในขณะที่ supply ยังไม่ฟื้นเร็วเพราะการลดของกำลังผลิตของผู้ผลิตในตลาดราว 30-40% และแนวโน้มที่กำลังการผลิตใหม่อาจเลื่อนออกไป ส่วนฝั่ง performance material ปริมาณขายฟื้นตัวได้จากฝั่งยุโรป และจีน สอดคล้องกับมุมมองที่คาด EBITDA ฝั่งธุรกิจปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้นราว 14% ส่วนฝั่งโรงกลั่นมี hedging loss เข้ามาลดลง จากการไม่เร่งทำhedging เหมือนช่วงก่อน