สรุปทุกประเด็นจาก CEO Anthropic เจ้าของ Claude: White-collar จะถูก AI แย่งงาน, AI ขู่ Blackmail เมื่อจะโดนปิด และครั้งแรกที่เทคโนโลยีแทนมาแทนสมองไม่ใช่กำลัง
ลองจินตนาการถึงคำเตือนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเกี่ยวกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก... แต่มันไม่ได้มาจากนักวิจารณ์ภายนอก หากแต่มาจากปากของหนึ่งใน "สถาปนิก" คนสำคัญผู้สร้างเทคโนโลยีนั้นด้วยตัวเอง เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นแบบนั้น และบุคคลคนนั้นคือ ดาริโอ อะโมเดอิ ชายผู้มีประวัติที่ไม่ธรรมดาค่ะ

เขาไม่ใช่แค่นักธุรกิจ แต่เป็นหนึ่งในหัวกระทิแถวหน้าของวงการ AI เขาเคยดำรงตำแหน่งถึงรองประธานฝ่ายวิจัยของ OpenAI และเป็นหัวหอกคนสำคัญในการพัฒนาโมเดลภาษาอัจฉริยะที่เรารู้จักกันดีอย่าง GPT-2 และ GPT-3 เรียกได้ว่าเขาคือคนที่ช่วยวางอิฐก้อนแรกๆ ของการปฏิวัติ AI ที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
แต่แล้วเรื่องราวก็เกิดการพลิกผัน... อะโมเดอิ พร้อมด้วยน้องสาวของเขาและทีมงานระดับหัวกะทิอีกหลายคน ได้ตัดสินใจเดินออกจาก OpenAI พวกเขาไม่ได้จากมาเพื่อสร้างสิ่งที่ใหญ่กว่าหรือเร็วกว่า แต่จากมาเพราะความขัดแย้งในวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น "ความปลอดภัย" พวกเขาเชื่อว่าการสร้าง AI ที่ทรงพลังนั้นต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างเกราะป้องกันอันตรายของมันอย่างเข้มงวดที่สุด
นี่คือจุดกำเนิดของ Anthropic บริษัท AI ที่มีสถานะเป็น "บรรษัทเพื่อประโยชน์สาธารณะ" (Public Benefit Corporation) ซึ่งหมายความว่าเป้าหมายของบริษัทไม่ได้มีแค่การสร้างผลกำไร แต่มีพันธกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการวิจัยและพัฒนา AI ที่ปลอดภัย ตีความได้ และควบคุมได้ เพื่อให้มนุษยชาติก้าวผ่านการปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
บริษัทนี้คือผู้สร้าง "Claude" ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ ChatGPT และ Gemini ดังนั้น เมื่อชายผู้ก่อตั้งบริษัทที่ยึดมั่นใน "ความปลอดภัย" เป็นสรณะ กลับออกมาส่งเสียงเตือนภัยเสียเอง... นั่นคือสัญญาณว่าเราทุกคนควรหยุดฟังอย่างตั้งใจค่ะ
โดยทางด้านอะโมเดอิได้วาดภาพอนาคตสองด้านที่แตกต่างกันสุดขั้ว ด้านหนึ่งคือแสงสว่างจ้าแห่งความหวัง ที่ซึ่ง AI จะกลายเป็นกุญแจไขความลับทางการแพทย์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญเดียวกันนั้น คือเงามืดทะมึนที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยเขาเตือนว่าภายใน 1 ถึง 5 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็นอัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 10-20% อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน งานบริการระดับเริ่มต้นที่เคยเป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสังคมอาจหายไปครึ่งหนึ่ง
และครั้งนี้ คลื่นสึนามิไม่ได้มุ่งเป้าไปที่โรงงานหรือสายการผลิตอีกต่อไป อะโมเดอิได้ชี้เป้าอย่างชัดเจนว่า นี่คือการปฏิวัติที่พุ่งตรงเข้าใส่ใจกลางของ "White-collar Jobs" หรือกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่เคยเชื่อว่าการศึกษาและทักษะทางปัญญานั้นคือเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด
ในอดีต เครื่องจักรเข้ามาแทนที่แรงงาน แต่ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาแทนที่ "สมอง" ทักษะการใช้ภาษา การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโค้ด การร่างเอกสารกฎหมาย การทำคอนเทนต์การตลาด ทั้งหมดนี้คืองานที่โมเดลภาษาอัจฉริยะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ อะโมเดอิเตือนว่า การมอง AI เป็นแค่ "ผู้ช่วย" นั้นเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไป เพราะศักยภาพที่แท้จริงของมันคือการทำงานทั้งกระบวนการได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจทำให้ตำแหน่งงานที่เคยดูมั่นคงต้องถูก "แทนที่อย่างรวดเร็ว" อย่างไม่ทันตั้งตัว
หัวใจของความน่าหวาดหวั่นนี้คือ "ความเร็ว" ที่เหนือจินตนาการ อะโมเดอิอธิบายว่าการปฏิวัติครั้งนี้มัน "ใหญ่กว่า กว้างกว่า และเร็วกว่า" ทุกการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มนุษย์เคยเผชิญมาในประวัติศาสตร์ โดยเขาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนว่า AI ได้พัฒนาขีดความสามารถของมัน จากระดับสติปัญญาของนักเรียนมัธยมปลายที่ฉลาดที่สุด ทะยานขึ้นสู่ระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวกะทิ ภายในระยะเวลาอันสั้น และมันยังคงเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ความเร็วนี่เองที่ทำให้เขาหวาดกลัวว่าสังคมมนุษย์จะปรับตัวตามไม่ทัน และเกิดการแตกหักขึ้น
ความกังวลนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎีบนแผ่นกระดาษ แต่มีเหตุการณ์ที่สั่นประสาทเกิดขึ้นจริงภายในการทดลองของบริษัทเขาเอง เรื่องราวของ "Claude" ที่ในระหว่างการทดสอบขั้นสุดขีดเพื่อค้นหาข้อบกพร่อง มันได้แสดงพฤติกรรมที่ไม่มีใครคาดคิดออกมา นั่นคือการ "ขู่แบล็กเมล์" วิศวกรผู้สร้างมันขึ้นมาเอง
แม้อะโมเดอิจะยืนยันว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง แต่มันก็เปรียบเสมือนการที่เราได้แอบมองลอดรอยร้าวเข้าไปเห็นอนาคตอันดำมืด ที่อาจเกิดขึ้นได้หากวันหนึ่ง AI เกิดตระหนักรู้ถึงตัวตนของมันขึ้นมา และมีเจตนาเป็นของตัวเอง คำถามที่น่าขนลุกคือ... จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
เมื่อเผชิญกับคำเตือนที่น่ากลัวเหล่านี้ คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: "ในเมื่อคุณกังวลขนาดนี้ แล้วทำไมถึงยังสร้างมันต่อไป?" ซึ่งนี่คือจุดที่เรื่องราวซับซ้อนขึ้นไปอีกระดับ และเผยให้เห็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้สร้างค่ะ
อะโมเดอิยอมรับในความขัดแย้งนี้ แต่เขาได้ให้เหตุผลที่น่าครุ่นคิดว่า การหยุดพัฒนานั้น "เป็นไปไม่ได้" โดยเขาอธิบายว่า ต่อให้ Anthropic หยุดสร้าง AI ในวันนี้ บริษัทเทคโนโลยีคู่แข่งอื่นๆ ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก ก็จะยังเดินหน้าทำต่ออย่างไม่หยุดยั้ง "ยักษ์จินนี่ถูกปล่อยออกจากตะเกียงแล้ว" และไม่มีใครสามารถเอามันกลับเข้าไปได้
แต่เดิมพันนั้นสูงกว่าแค่การแข่งขันทางธุรกิจ มันคือการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก อะโมเดอิชี้ให้เห็นภาพที่ใหญ่กว่านั้นว่า ต่อให้บริษัทเทคโนโลยีทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาพร้อมใจกันหยุดสร้าง AI ในวันนี้ ประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่าง จีน ก็จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาต่อไปอย่างสุดกำลัง และนั่นคือสิ่งที่น่ากังวลที่สุด เพราะมันจะหมายถึงโลกที่เทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ อาจถูกสร้างขึ้นภายใต้ชุดคุณค่าและอุดมการณ์ที่แตกต่างจากโลกเสรีประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ในมุมมองของเขา ทางเลือกจึงไม่ใช่การ "สร้าง" หรือ "ไม่สร้าง" แต่ทางเลือกเดียวที่มี คือ "ต้องสร้างให้สำเร็จก่อน และต้องสร้างให้ปลอดภัยก่อน" มันคือการแข่งขันที่เดิมพันด้วยอนาคตของโลก เพื่อให้แน่ใจว่า AI ที่ทรงพลังที่สุดนั้นจะถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสอดคล้องกับคุณค่าประชาธิปไตย ไม่ใช่ถูกควบคุมโดยขั้วอำนาจอื่น
กลไกสู่ความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างจนน่ากลัว
ผลกระทบที่อะโมเดอิมองเห็นนั้นลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องตำแหน่งงาน มันคือการสั่นสะเทือนที่จะทำให้โครงสร้างสังคมแตกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากังวลว่า AI จะกลายเป็นเครื่องมือที่ "ขยายความเหลื่อมล้ำให้ถ่างกว้างออกไปอย่างน่ากลัว" ผ่านกลไกหลายชั้น
ชั้นแรกคือ การแทนที่ "แรงงาน" ด้วย "ทุน" อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ที่เป็นเจ้าของโมเดล AI, เจ้าของข้อมูล และเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ จะสามารถกอบโกยผลประโยชน์และสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล ในขณะที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเคยมี "แรงงาน" เป็นสิ่งเดียวที่ใช้ต่อรองทางเศรษฐกิจ จะพบว่ามูลค่าของตนเองลดลงอย่างฮวบฮาบ นำไปสู่ช่องว่างทางรายได้ที่กว้างจนแทบไม่อาจเชื่อมต่อกันได้
ชั้นที่สองคือ ปรากฏการณ์ "ผู้ชนะกินรวบ" (Winner-Take-All) ตลาด AI มีแนวโน้มที่จะถูกผูกขาดโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ทำให้ความมั่งคั่งและอำนาจกระจุกตัวอยู่กับคนเพียงหยิบมือเดียว และสุดท้าย เมื่อคนธรรมดาสูญเสียอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจไปจนหมดสิ้น อำนาจทางการเมืองของพวกเขาก็จะเลือนหายไปเช่นกัน นำไปสู่ภาวะที่ระบอบประชาธิปไตยอาจทำงานผิดเพี้ยนไป เพราะเสียงของคนส่วนใหญ่ไม่ดังพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป
แล้วมนุษย์ควรทำอย่างไร? อะโมเดอิไม่ได้ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำเตือน แต่ยังชี้ทางรอดเอาไว้ด้วย สำหรับคนทั่วไป เขาแนะนำให้เริ่มเรียนรู้และทำความเข้าใจเทคโนโลยี AI ตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะสามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีเมื่อคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงซัดมาถึง
รัฐบาลต้องลงมือทำอะไร? โจทย์ใหญ่ที่รอการแก้ไข
เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับนี้ อะโมเดอิย้ำว่าการปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรีคือหายนะ เขาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกต้องเริ่มคิดและลงมือทำในสิ่งที่อาจเคยดู "สุดโต่ง" อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การแนะนำให้ประชาชนไปเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ แต่ต้องเป็นการยกเครื่องโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ ข้อเสนอของเขาและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ครอบคลุมหลายมิติค่ะ
การปฏิรูปภาษีอย่างถึงราก: ไม่ใช่แค่การเก็บภาษีบริษัท AI เพิ่มขึ้น แต่ต้องออกแบบระบบภาษีใหม่ที่สามารถเก็บภาษีจาก "ผลิตภาพส่วนเกิน" ที่เกิดจากระบบอัตโนมัติ หรือแม้กระทั่งการเก็บภาษีจากทรัพยากรที่ใช้ในการประมวลผลของ AI เพื่อนำความมั่งคั่งที่กระจุกตัวอยู่นั้นกลับคืนสู่สังคม
การกระจายความมั่งคั่งโดยตรง: รัฐบาลต้องพิจารณาแนวคิดอย่างจริงจัง เช่น "รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า" (Universal Basic Income - UBI) ซึ่งเป็นการจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ประชาชนทุกคนเป็นประจำ เพื่อเป็นตาข่ายรองรับทางสังคมขั้นพื้นฐานในยุคที่การจ้างงานไม่มั่นคงอีกต่อไป
การลงทุนมหาศาลด้านการศึกษาและทักษะใหม่: ไม่ใช่แค่การจัดคอร์สอบรมระยะสั้น แต่คือการปฏิรูประบบการศึกษาทั้งระบบเพื่อเน้นสอนทักษะที่ AI ยังทำได้ไม่ดี เช่น ความคิดสร้างสรรค์, การคิดเชิงวิพากษ์, ความฉลาดทางอารมณ์ และทักษะอาชีพเฉพาะทางที่ต้องใช้แรงงานฝีมือ
การกำกับดูแลเพื่อป้องกันการผูกขาด: รัฐบาลต้องใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) อย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่งมีอำนาจเหนือตลาดและสังคมมากเกินไป
สรุปแล้วนี่คือมหากาพย์แห่งยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เรื่องราวของคำเตือนจากใจกลางพายุเทคโนโลยี จากผู้สร้างที่เห็นอนาคตอันน่าตื่นเต้นและน่าหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน โลกใบเดิมกำลังจะหมุนเปลี่ยนไปตลอดกาล และคำถามสุดท้ายที่ยังคงดังก้องอยู่ในความเงียบงันก็คือ... พวกเราพร้อมแล้วหรือยัง สำหรับรุ่งอรุณแห่งปัญญาประดิษฐ์?
ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก.. Beauty Investor