“หุ้นเอเชีย” ผ่าน ‘จุดต่ำสุแล้ว’ แนะ “ตลาดปรับฐาน” จังหวะลงทุน... ชู ‘หุ้นเอเชียเหนือ-ออสเตรเลีย-สิงคโปร์’ เด่นสุด !!!
Fund Manager View: “ตลาดหุ้นทั่วโลก” กลับมาอยู่ภายใต้แรงกดดันของนโยบายการเงินอีกครั้งหลังล่าสุด “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินตึงตัวปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง
พร้อมการคงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อ “สกัดเงินเฟ้อ” และยังระบุว่าการกดเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% เป็นสิ่งที่ FED ให้ความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้
โอกาสที่จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าปกติยังคงมีอยู่ และนั่นทำให้ตลาดเป็นกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ในทุกวิกฤติ...ย่อมมีโอกาสการลงทุนเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน “หุ้นเทคฯ-เฮลธ์แคร์-เอเชีย” เป็นจังหวะในการลงทุนที่น่าสนใจอีกครั้ง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ตามทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthythai’ ไปอัพเดทพร้อมๆ กันได้เลย
“หุ้นเอเชีย” ผ่าน ‘จุดต่ำสุด’ ไปแล้ว...ราคาไม่แพง-จังหวะปรับฐาน “โอกาสลงทุน”
หลังการชะลอตัวในกลุ่ม “ตลาดพัฒนาแล้ว” (Developed Market) ก็ทำให้กลุ่ม “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Market) ดูน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม “ตลาดเอเชีย”
โดย “ซีรีน เฉิง” Senior Portfolio Manager, Principal Asset Management (S) Pte Ltd. มองว่า ในปี22 จะเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจในฝั่ง “เอเชีย” ที่ดีกว่า “ยุโรป” และ “สหรัฐ” โดยปัจจุบันเริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ไทย เป็นต้น จึงคาดการณ์ว่าปี23 อัตราเติบโตของกำไรตลาดหุ้นในเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น (Asia Ex Japan) จะชนะทั้งตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น และมองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้น Asia Ex Japan รอบนี้ “ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด” และเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว หลังจากดัชนีลดลงแล้ว 29% และปรับฐานมาแล้วถึง 525 วัน ซึ่งนานกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่มีระยะเวลาปรับฐาน 420 วัน โดยมีตัวแปรคือระยะเวลาการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวของ FED และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นแบบ “Soft Landing” (ค่อยเป็นค่อยไป) หรือ “Hard Landing” (ชะลอตัวรุนแรง) โดยเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของการปรับฐาน จะเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุน
“เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนหุ้นใน ‘Asia Ex Japan’ เนื่องจากราคายังไม่แพง โดยเลือกหุ้นที่เห็นการเติบโตชัดเจน คาดการณ์กำไร มีเงินสดจำนวนมาก จ่ายเงินปันผล สามารถเอาชนะเงินเฟ้อและปรับขึ้นราคาสินค้าได้ โดยสนใจตลาดหุ้นในเอเชียเหนือ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ส่วนอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานทางเลือก โรงพยาบาล และอุตสาหกรรมที่หันมาใช้ระบบ Automation”
“FED” ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง-กดหุ้นดิ่งได้ช่วง 1 – 3 เดือนข้างหน้า...แนะโอกาสลงทุน “หุ้นเทคฯ-เฮลธ์แคร์-พลังงานหมุนเวียน”
ทั้งนี้ ท่าทีของ FED จะยังคงส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดในลักษณะดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี22
โดย “คมศร ประกอบผล” หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) มองว่า ปัจจัยสนับสนุน 3 ประเด็น คือ 1) อัตราเงินเฟ้อแม้จะเริ่มกลับมาลดลง แต่ยังอยู่สูงในระดับที่สูงเกินกว่าที่ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย 2) อัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นอุปสรรคไม่ให้ Fed ผ่อนคลายนโยบายการเงิน 3) คาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูง แนะนำให้นักลงทุนลงทุนด้วยความระมัดระวัง เพราะตลาดหุ้นจะกลับมาอยู่ภายใต้แรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จึงมีความเสี่ยงที่ในระยะ 1- 3 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นจะปรับลดลง และกลับไปอยู่ใกล้เคียงกับ “จุดต่ำสุดเดิม”
“สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงนี้เป็นโอกาสของการเข้าซื้อหุ้น กลุ่มเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ ที่กำไรมักจะเติบโตได้ดีในทุกสภาวะเศรษฐกิจ และหุ้นพลังงานหมุนเวียน ที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญและเริ่มลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ”
“ในวิกฤติ...ย่อมมีโอกาส” จังหวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงจากการสะดุ้งนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นของ FED ในครั้งนี้ ก็เป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนในกลุ่ม “หุ้นเทคฯ-เฮลธ์แคร์-เอเชีย” เช่นเดียวกัน โดยหวังผลระยะยาวในช่วงต่อไปที่เศรษฐกิจพลิกฟื้นคืนชีพอีกครั้ง