ห้องเม่าปีกเหล็ก

ไทยควรกังวลกับสงครามการค้าแค่ไหน

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
52 views

ไทยควรกังวลกับสงครามการค้าแค่ไหน

ประเด็นเศรษฐกิจโลกที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้น “สงครามการค้าโลก” ระหว่างยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ และจีน

ภายในสองเดือนที่ผ่านมาได้มีการแลกหมัดกันระหว่างทั้งสองชาตินี้ เริ่มจากสหรัฐฯ ประกาศไว้ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้า 25% และภาษีอะลูมิเนียม 10% อีกทั้งยังลงมีการร่างกฏหมายฉบับใหม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์

เมื่อเห็นดังนี้ จีน ภายใต้บังเหียนของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่ต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งและศักดิ์ศรีบนเวทีโลก ย่อมไม่นิ่งเฉยและตอบโต้ทันทีในวันที่ 2 เมษายนด้วยการเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่ารวมแล้วประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ หนึ่งในสินค้าเหล่านั้นคือสินค้าจำพวกเนื้อหมู ซึ่งถือเป็นการโจมตีฐานเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์โดยตรง

จากนั้นทั้งทุกวันมีการซัดอีกฝั่งด้วยการขึ้นภาษีนำเข้า ทีละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ สองสามทีก็เป็นสินค้ามูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์ที่มีโอกาสถูกกระทบ

จากบทความที่แล้ว (https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1470) ผมมองว่าสุดท้ายผลกระทบจะรุนแรงแค่ไหนจะขึ้นอยู่กับว่าการเจรจาการค้าระหว่างสองคู่กรณีนี้และระหว่างทั้งคู่กับประเทศที่สาม ว่าจะมีผลออกมาช่วยเกลี่ยผลกระทบทางลบจากการบดบี้ด้วยวาจาได้มากน้อยแค่ไหน

อีกมุมหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือเศรษฐกิจไทยของเราจะถูกลูกหลงแค่ไหน

1. เรามี Trade Exposure ที่สูงกับทั้งสองประเทศ

มูลค่าสินค้าที่เราส่งออกไปยังจีนประเทศเดียวถือเป็นกว่า 13% ของการส่งออกทั้งหมด  มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก็ไม่แพ้กัน อยู่ที่ราว 11% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หรือเทียบได้เกือบ 8% ของ GDP เรา

ดังนั้นไม่ว่าใครจะได้ใครจะเสียระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ไทยเราถูกกระทบทั้งนั้น

กรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กนั้นน่าเป็นห่วงน้อยกว่าการที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน  เหตุเป็นเพราะว่า เหล็กเป็นเพียง 3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของเราเท่านั้น ส่วนที่เราส่งออกไปสหรัฐฯ ยิ่งน้อยลงไปอีก

ที่เราควรระวังมากกว่าคือหมัดที่สหรัฐฯ จะซัดใส่จีนเนื่องจากกระบวนการผลิตสินค้าที่ถูกกระทบเหล่านั้นอาจต้องการวัตถุดิบจากประเทศไทย  เมื่อคนอเมริกันต้องการซื้อมันน้อยลง (เพราะการขึ้นภาษีนำเข้า) อุปสงค์ของสิ่งที่เราส่งไปจีนก็ย่อมถูกกระทบ  สินค้าประเภทที่เราส่งออกไปเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain จีนนั้นมีมากมาย ตั้งแต่ ยาง พลาสติก ไปจนถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างคอมพิวเตอร์

ในมุมกลับกัน เมื่อจีนขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ บ้าง แม้เราจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ supply chain สหรัฐฯ แต่เราอาจถูกลูกหลงได้แบบอ้อมๆ  เช่น ถูกสหรัฐฯ กดดันให้เราอุดหนุนการนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ ปกติเคยขายในจีนได้มากๆ แล้วกำลังจะถูกจีนบล็อก  ข้อเสียคือมันเป็นสินค้าที่ตลาดเราไม่ได้ต้องการในปริมาณมากขนาดนี้ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นมันย่อมเป็นการฝืนอำนาจตลาดและก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองขึ้น  ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ จุดนี้อาจปฏิเสธตรงๆ ลำบากเนื่องจากสหรัฐฯ เองก็มีความสำคัญต่อไทยไม่แพ้จีน จึงเป็นไปได้ว่าเราอาจจะต้องยอมนำเข้าเพิ่มและแลกอะไรบางอย่างมา

2. ผลกระทบต่อตลาดทุนและค่าเงิน

หากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และ ตลาดเงินตราระหว่างประเทศมีโอกาสถูกกระทบกันถ้วนหน้า

รายงานของ Citi พบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงทาง fundamental กับสหรัฐฯ ผ่านการค้าระหว่างระเทศ แต่ไม่ค่อยมีความเชื่อมต่อผ่านตลาดหุ้นมากนัก  อย่างไรก็ตาม หากเกิดสงครามการค้าขึ้นจริงๆ ในระยะสั้น สิ่งที่เรามีโอกาสได้เจอก็คือภาวะเทขายเพื่อปิดความเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจเราที่มีโอกาสถูกกระทบเนื่องจาก trade exposure ของเรากับทั้งสองคู่กรณี

ส่วนตลาดตราสารหนี้นั้น กูรูบางท่านมองว่าจีนยังถือไพ่ "เจ้าหนี้" เหนือกว่าสหรัฐฯ เนื่องจากจีนสามารถเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อส่งให้ยีลด์พุ่งทยานจนสภาวะการคลังของสหรัฐฯ สั่นคลอนได้  ผู้เขียนเชื่อว่านี่เป็นไพ่เสือกระดาษเท่านั้น จีนเล่นไม่ได้จริง  เนื่องจากจีนไม่ได้มีความต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศร้าวรานไปมากกว่านี้  สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อ สี จิ้นผิง ไม่ใช่การต่อกรตรงๆ กับสหรัฐฯ แต่เป็นการทำให้จีนโตอย่างสงบสุขและนิ่งจากภายใน จึงไม่น่าจะทำการเทขายแบบฉับพลันอย่างที่หลายคนหวั่นกลัว

หากเกิดสงครามการค้าโลกขึ้นจริง ตลาดเงินตราต่างประเทศมีโอกาสถูกกระทบมากที่สุด มีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนจะเริ่มพยายามปิดความเสี่ยงโดยการขายเงินสกุลที่อยู่ในสงคราม (ดอลลาร์สหรัฐฯ และหยวน) รวมไปถึงสกุลคู่ค้าโดยเฉพาะคู่ค้าขนาดย่อมที่พึ่งการส่งออกในการโต (ไทย เกาหลีใต้ เม็กซิโก ฯลฯ) และซื้อสกุลที่เป็น safe haven เช่น สกุลเงินในสแกนดิเนเวีย หรือ สกุลเยน เป็นต้น

สงครามการค้าครั้งนี้มีลักษณะที่สหรัฐฯ จะเป็นคนเดินหมากแรกกับหลายๆ ประเทศ แม้ว่าทุกวันนี้จะยังไม่มีหมัดไหนซัดเข้าใส่ประเทศไทยตรงๆ  ยังมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเริ่มเพ่งเล็งประเทศไทยเนื่องจากเราติดอันดับ 12 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ  ดังนั้นจะเตรียมความพร้อมไว้ก่อนก็ไม่เสียหายครับ


คนเล่นหุ้น