ห้องเม่าปีกเหล็ก

เิงินเฟ้อกดดันหนัก

โดย คเณชา
เผยแพร่ :
65 views
 
 
ตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในทุกเดือน ยังเป็นเภาพที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ก็ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 ปี ที่ระดับ 7.66%
.
.
ภาพที่มักจะมาพร้อมๆกันคือ Stagflation หรือ ภาวะที่เศรษฐกิจชะงักงัน ไปพร้อม ๆ กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ที่กำลังปรากฎให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน บนบความหวาดหวั่นว่า เราจะประคองตัวเองให้รอดจากภาวะวิกฤติที่อะไร ๆ รอบ ๆ ตัวดูจะเลวร้ายลง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ข้าวของเครื่องใช้ที่แพงขึ้น เงินในกระเป๋าหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ไปลงทุนอยู่ดูจะด้อยค่าลงเรื่อย ๆ
.
.
TNN Wealth สำรวจข้อมูลภาวะเงินเฟ้อของประเทศต่าง ๆ และการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉายภาพกว้างให้เห็น และหวังใจว่าจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ บรรเทาความกังวลลงลงบ้างไม่มากก็น้อย
.
.
เว็บไซต์ World Economic Forum นำเสนอผลงานวิจัยของ Pew Research Center ที่ศึกษาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อ ใน 44 ประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือ ตั้งแต่ไตรมาส 1 ของ ปี 2563 – ไตรมาส 1 ของปี 2565 พบว่า มีถึง 37 ประเทศที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น “เท่าตัว”
อิสราเอลเป็นประเทศที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกคือ 25 เท่าตัว จาก 0.13% ในไตรมาส 1/63 สู่ 3.36% ในไตรมาส 1/65
.
.
รองลงมาคือ กรีซที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 20 เท่าตัว จาก 0.36% เป็น 7.44% ในขณะที่อิตาลีตามมาด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มจาก 0.29% เป็น 5.67%
ส่วนตุรกีเป็นประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อขยายตัวสูงที่สุดในโลกประจำไตรมาส 1/65 ถึง 54.8%
.
.
หลังเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักไปจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ราว 2 ปี และในขณะที่ประเทศต่าง ๆ กำลังพยายามที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างดู “ชะงักงัน” เพียงแค่การกลับไป “ยืนที่เดิม” ก่อนเกิดโควิด – 19 ก็ดูจะเป็นเรื่องยาก
เห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมาที่สูงที่สุดในรอบ 41 ปี ที่ 8.6% ตามมาด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสะเทือนโลกของธนาคารกลางสหรัฐฯ 0.75% ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งแรง
.
.
เช่นเดียวกับ ประเทศไทยที่เงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2565 ก็สูงสุดในรอบ 14 ปี ที่ระดับ 7.1% และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็กำลังจะตามมาในไม่ช้า
.
.
รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของธนาคารโลกที่ออกมาเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2565 ระบุชัดเจนว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation หรือถดถอยเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางการขยายตัวเศรษฐกิจที่ชะงักงันและอัตราเงินเฟ้อที่รุนแรง ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง เกิดวิกฤติทางการเงินกับประเทศในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และประเทศกำลังพัฒนา
.
.
ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้ (2565) จากเดิมที่ประกาศออกมาในเดือนมกราคมที่ 4.1% เหลือ 2.9% หลังจากที่ในปีที่แล้ว (2564) เศรษฐกิจโลกเติบโตได้ 5.7%
.
.
เหตุจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ลุกลามต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในวงกว้าง ห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงัก ราคาพลังงาน ราคาธัญพืช ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าเงินในกระเป๋าลดลง เสริมด้วยนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ฉุดรั้ง
.
.
ในช่วงทศวรรษปี 1970 หรือราว 50 ปีก่อน โลกเคยเผชิญกับ Stagflation มาก่อน ธนาคารโลกถอดบทเรียนวิเคราะห์เปรียบเทียบกับปัจจุบัน เพื่อศึกษาหาทางออก
.
.
ส่วนที่เหมือนกันของอดีตและทุกวันนี้คือ เงินเฟ้อมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งความหวังในการแก้ปัญหาอยู่ที่ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลกต้องใช้นโยบายการเงินที่เหมาะสมเพื่อช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ และประเทศในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ต้องใช้นโยบายกำกับดูแลที่เข้มงวด เพื่อฝ่าฟันกับปัญหาที่เกิดขึ้น
.
.
ส่วนที่ต่างกันของสองยุคคือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลหลักของโลกแข็งค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ในขณะที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากผ่านวิกฤติการเงินมาหลายครั้งในช่วง 30 ปีมานี้ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
.
.
ธนาคารโลกมองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจจะช่วยฉุดดึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีแนวโน้มตกต่ำให้ฟื้นคืนกลับมา ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องรักษาสมดุลย์ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถรับแรงเสียดทานนี้ได้
รัฐควรมีนโยบายในการแก้ปัญหาที่ชัดเจน ให้อิสระกับธนาคารกลางในการกำหนดกรอบเงินเฟ้อ และแผนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม กำกับดูแลสถาบันการเงินและดำเนินการไปตามแนวทางที่กำหนด ส่วนการควบคุมหรือการอุดหนุนราคาพลังงาน จนบิดเบือนราคาที่แท้จริง และห้ามการส่งออก เพื่อให้มีเพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศ กลับจะยิ่งทำให้สถานการณ์โลกเลวร้ายลง
.
.
ธนาคารโลกเชื่อว่า ปัญหาอัตราเงินเฟ้อจะควบคุมได้ในปีหน้า แต่ในบางประเทศอาจต้องเผชิญกับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง คือการจำกัดผลกระทบจากสงครามที่จะต้องไม่ลุกลามจนเกิดความเสียหายกับราคาอาหารและพลังงานทั่วโลกไปมากกว่านี้ และยังต้องเร่งแก้ปัญหาหนี้สินของแต่ละประเทศ ตลอดจนกระจายวัคซีนไปยังประเทศยากจน
.
.
ที่มา:
 

คเณชา